Skip to content

Betaglucan (เบต้า กลูแคน)

มีคำกล่าวจากนักวิชาการว่า สารที่สามารถเพิ่มภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย ซึ่งมีสมรรถภาพสูงสุดเท่าที่วงการวิทยาศาสตร์รู้จัก ในปัจจุบันก็คือ เบต้า กลูแคน และต่อไปจะกลายเป็นสารจากธรรมชาติที่มีคุณสมบัติเป็นยาซึ่งถือว่าดีที่สุดในโลก เพื่อไว้ต่อสู้กับโรคมะเร็ง และโรคดื้อยาในอนาคต


หนังสือเบต้ากลูแคนดีที่สุดในโลก ที่มนุษย์เคยพบ ของ ศ.ดร.นพ.สมศักดิ์ วรคามิน

เบต้ากลูแคนคืออะไร

เป็นสารอาหารประเภทแป้ง เป็นน้ำตาลเชิงซ้อนที่มาจากธรรมชาติ (Natural polysaccharide) ซึ่งมีคุณสมบัติที่สามารถกระตุ้นระบบภูมิต้านทานของร่างกาย ใช้ป้องกันโรคติดเชื้อจากจุลชีพต่างๆ และยังมีคุณสมบัติอื่นๆ เช่น ลดระดับไขมันคอเลสเตอรอลในโลหิต, เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ, ป้องกันและรักษามะเร็งได้ เป็นต้น

การทำงานของเบต้ากลูแคน

  • เบต้ากลูแคนสามารถช่วยระบบภูมิต้านทานได้อย่างน้อย 3 วิธีดังนี้
    1. กระตุ้นให้ไขกระดูกเพิ่มการผลิตเม็ดเลือดขาว ทำให้มีเซลล์ภูมิคุ้มกันเพิ่มปริมาณมากขึ้นจนเพียงพอที่จะทำลายผู้บุกรุกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    2. เพิ่มประสิทธิภาพของ Macrophage ในการจับกินผู้บุกรุก โดยกระตุ้นให้ Macrophage สามารถทำลายผู้บุกรุกได้อย่างว่องไวมากขึ้น และส่งสัญญาณเตือนภัยไปเซลล์ต่างๆโดยการหลั่งสารเคมีสื่อสารออกไป
    3. พัฒนาเซลล์ภูมิต้านทานทั้งหลายให้สามารถเคลื่อนที่ไปยังผู้รุกรานตรงบริเวณเป้าหมายได้รวดเร็วขึ้น ทันต่อเหตุการณ์

ชนิดของเบต้ากลูแคน

  1. เบต้า 1,3 ดี กลูแคน (Beta 1,3 D glucan)
    • เกิดจากสาย glucan ที่แต่ละโมเลกุลของกลูโคสจะเชื่อมต่อกันด้วยพันธะ glycoside linkage ที่ตำแหน่ง 1และ 3 และไม่มีการต่อแขนงออกด้านข้าง โดยคำว่า Beta หมายถึง หางของ OH (Hydroxyl) ชี้ขึ้นข้างบน และ D ย่อมาจาก Dextro ที่แปลว่า ขวา หมายถึง OH หันไปทางด้านขวา
    • เบต้า 1,3ดี กลูแคน มีแหล่งที่มาจากแบคทีเรียและสาหร่าย
  1. เบต้า 1,3/1,6 กลูแคน (Beta 1,3/1,6 glucan)
    • เป็นกลุ่มย่อยลงไปอีกของเบต้ากลูแคน ที่มีสายหลักต่อกันด้วยพันธะ 1,3 และมีสายแยกแขนงต่อออกไปด้านข้างด้วยพันธะ 1,6 ซึ่งในวงการวิทยาศาสตร์ให้คะแนนสูงสุดในคุณสมบัติเพิ่มภูมิต้านทาน และบางชนิดเป็นใยอาหารชนิดไม่ละลายน้ำ ซึ่งมีสรรพคุณในการลดไขมันอีกด้วย
    • แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ ชนิดสายสั้น พบในเห็ด จะเป็นชนิดที่ละลายน้ำดี ไม่มีกลูเตนที่ก่อให้เกิดการแพ้ และชนิดสายยาว พบในผนังเซลล์ของยีสท์ชื่อ Saccaromyces cerevisiae
  1. เบต้า 1,3/1,4 กลูแคน (Beta 1,3/1,4 glucan)
    • เบต้ากลูแคนที่มีสายหลักต่อกันด้วยพันธะ 1,3 และมีสายแยกแขนงต่อออกไปด้านข้างด้วยพันธะ 1,4 มีคุณสมบัติทางยาคือ ลดไขมันในโลหิต แต่ประสิทธิภาพในการเพิ่มภูมิต้านทานจะไม่สูงเท่า เบต้า 1,3/1,6 กลูแคน เพราะจับกับแมคโครเฟจได้ไม่แน่น จัดเป็นใยอาหารที่มีทั้งส่วนที่ละลายน้ำและไม่ละลายน้ำ
    • เบต้า 1,3/1,4 กลูแคน มีแหล่งที่มาจากข้าวโอ๊ตและข้าวบาร์เลย์

โครงสร้างของเบต้ากลูแคนมีผลต่อการเสริมสร้างสมดุลภูมิต้านทานที่แตกต่างกัน

Beta 1,3/1,6 glucan เป็นชนิดที่มีประสิทธิภาพในการกระตุ้นภูมิต้านทานได้ดีที่สุด เนื่องจากสามารถจับกับตัวรับบนแมคโครเฟจ และ NK cell ได้อย่างจำเพาะ เปรียบเสมือนอาหารเพิ่มพลังให้กับเหล่าเม็ดเลือดขาว ที่คอยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเหล่าภูมิต้านทานให้ขยันขันแข็งกันมากขึ้น

ความแตกต่างของเบต้ากลูแคนจากยีสต์ขนมปังและเห็ด

ถึงแม้ว่ายีสต์ขนมปังและเห็ด จะมีโครงสร้างของ Beta 1,3/1,6 glucan เหมือนกัน แต่มีความสั้นยาวของสายโมเลกุลที่แตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อการปรับสมดุลภูมิต้านทานในร่างกาย โดยเบต้ากลูแคนที่มาจากยีสต์ขนมปัง จะเป็น Beta 1,3/1,6 glucan ชนิดโมเลกุลสายยาว ซึ่งอาจมีโปรตีนของกลูเตนติดเข้ามาในส่วนประกอบได้ การที่เบต้ากลูแคนมีโปรตีนกลูแคนติดเข้ามา จะไม่ได้กระตุ้นภูมิต้านทานเพียงอย่างเดียว แต่อาจจะไปกระตุ้นสมดุลภูมิแพ้ด้วย ดังนั้นสมดุลของภูมิต้านทานจึงเสียไป แต่ในขณะที่เบต้ากลูแคนที่มาจากเห็ด เป็น Beta 1,3/1,6 glucan ชนิดโมเลกุลสายสั้น ปราศจากโปรตีนกลูเตน ทำให้เหล่าเม็ดเลือดขาวทำงานได้อย่างตรงจุด ไม่ผิดพลาด จึงไม่ไปกระตุ้นสมดุลภูมิแพ้และยังช่วยปรับสมดุลภูมิแพ้ให้เข้าสู่สมดุลภูมิคุ้มกันปกติ ระบบภูมิคุ้มกันจึงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

Beta 1,3/1,6 glucan  ชนิดสายสั้น พบในเห็ด
Beta 1,3/1,6 glucan ชนิดสายยาว  พบในผนังเซลล์ของยีส

ตารางสรุปความแตกต่างของเบต้ากลูแคนจากแต่ละแหล่งที่มา

Mushroom Beta GlucanYeast Beta GlucanOat Beta Glucan
โครงสร้างของโมเลกุลBeta 1,3/1,6 glucan (สายสั้น)Beta 1,3/1,6 glucan (สายยาว)Beta 1,3/1,4 glucan
การละลายน้ำละลายน้ำไม่ละลายน้ำละลายน้ำ
Gluten free/X/ บางส่วน ขึ้นอยู่กับโรงงานผู้ผลิตด้วย
สรรพคุณเด่นเพิ่มภูมิต้านทานเพิ่มภูมิต้านทานลดไขมันในโลหิต แต่ประสิทธิภาพในการเพิ่มภูมิต้านทานจะไม่สูงเท่า Beta 1,3/1,6 glucan

ประโยชน์ของเบต้ากลูแคน

  • เบต้ากลูเคนกับการรักษามะเร็ง

ปกติแล้วเม็ดเลือดขาวจะไม่เห็นว่าเซลล์มะเร็งเป็นศัตรู เนื่องจากเซลล์มะเร็งก็คือเซลล์ร่างกายที่มีดีเอ็นเอเหมือนกับเซลล์ปกติทั่วไป เพียงแต่เกิดกระบวนการแบ่งตัวที่ผิดปกติ เบต้ากลูแคนจะไปกระตุ้นเม็ดเลือดขาวขนาดใหญ่ที่ชื่อ แมคโครเฟจ (Magcrophage) และ เซลล์เพชฌฆาต (Natural Killer Cell หรือ NK Cell) ให้ออกมาทำงาน โดยวิธีไปเกาะติดบนผิวของเยื่อหุ้มเซลล์ ที่มีตัวรับที่จำเพาะเจาะจงกับเบต้ากลูแคน จากนั้นแมคโครเฟจกินและย่อยเซลล์มะเร็งจนเป็นชิ้นเล็กๆและเอาไปแสดงเป็นสัญลักษณ์บนตัวของมัน เพื่อส่งสัญญาณให้ T cell ทราบ และสั่งการให้ B cell ผลิต antibody ที่ตรงกับ antigen (เซลล์มะเร็ง) ออกมาเยอะๆ ลอยในกระแสโลหิตและเกาะติดอยู่บนผิวของเซลล์มะเร็งทั้งหลายที่ยังไม่ถูกเม็ดเลือดขาวกิน เซลล์ภูมิต้านทานจึงมองเห็นเซลล์มะเร็งและกรูกันเข้ามาจัดการเซลล์มะเร็งเหล่านั้น ส่วนเซลล์ต่างๆที่ปกติจะไม่ถูกทำร้ายแต่อย่างใด

  • เบต้ากลูแคนช่วยป้องกันอันตรายจากการฉายรังสีบำบัดมะเร็งและการใช้ยาคีโมบำบัด

การให้ยาเคมีบำบัดจะทำให้จำนวนเม็ดเลือดขาวในเลือดลดลงต่ำกว่าปกติ(Leucocytopenia) เกิดความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อได้ง่าย โดยมีงานวิจัยต่างๆแสดงให้เห็นว่าการรับประทานเบต้ากลูแคนสามารถป้องกันเม็ดเลือดขาวบกพร่องได้ในสัตว์ทดลอง นอกจากนี้พบว่า การให้เบต้ากลูแคนร่วมกับสารคัดหลั่งที่ชื่อ Interferon-gamma ซึ่งใช้ในการรักษามะเร็งในปัจจุบันจะทำให้การทำลายมะเร็งมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็ง เมื่อได้รับการรักษาด้วยวิธีการฉายรังสี จะทำให้ไขกระดูกหยุดสร้างเม็ดเลือด ทั้งเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และ เกล็ดเลือด โดยเบต้ากลูแคนสามารถกระตุ้นการฟื้นตัวของไขกระดูกในการผลิตเม็ดเลือด ทำให้ไม่เกิดอาการเลือดเป็นพิษและปลอดจากโรคติดเชื้อ

  • เบต้ากลูแคนกับการรักษาแผลติดเชื้อ (Wound healing)

เม็ดเลือดขาวชนิดแมคโครเฟจ มีบทบาทสำคัญในการรักษาแผลที่เกิดจากการศัลยกรรม หรือ แผลจากอุบัติเหตุ เนื่องจากมีความสามารถในการจับกินเชื้อโรค และยังสามารถผลิตสารคัดหลั่ง Growth factor ของเนื้อเยื่อ ให้กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนทำให้แผลติดเร็ว ดังนั้นเบต้ากลูแคนที่เป็นอาหารทิพย์ที่ให้พลังกับแมคโครเฟจ (ทั้งกินและทา) ทำให้บาดแผลดีขึ้น ติดเชื้อน้อยลง และทำให้แผลแข็งแรง ไม่ปริง่า

  • เบต้ากลูเคนกับการลดไขมันคอเลสเตอรอลในเลือด

เบต้ากลูแคนเป็นใยอาหารที่มีทั้งชนิดละลายน้ำและไม่ละลายน้ำ โดยใยอาหารประเภทละลายน้ำจะทำให้เกิดเมือกบนผนังลำไส้ ขัดขวางการย่อยและการดูดซึม ช่วยชะลอการย่อยของไขมันคอเลสเตอรอลและน้ำตาลกลูโคสไว้ในลำไส้ ส่วนใยอาหารประเภทไม่ละลายน้ำจะเพิ่มปริมาณอุจจาระโดยการดูดซึมน้ำเข้าตัวและยังจับไขมันออกมาขับถ่ายทิ้งนอกร่างกาย ทำให้ไขมันคอเลสเตอรอลไม่ถูกย่อย ลดการดูดซึมไขมันเข้าสู่กระแสเลือด

  • เบต้ากลูเคนกับการควบคุมโรคเบาหวาน

มีงานวิจัยเกี่ยวกับเบต้ากลูแคนกับโรคเบาหวานซึ่งดำเนินการอย่างได้มาตรฐาน เชื่อถือได้ จากมหาวิทยาลัยในประเทศออสเตเรีย โดยสรุปว่าการรับประทานอาหารเสริมเบต้ากลูแคน เป็นประโยชน์ในการรักษาโรคเบาหวานและโรคแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน เป็นผลทำให้ความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดลดลง นอกจากนี้ยังทำให้แผลเบาหวานหาย และช่วยทุเลาความรุนแรงของโรคหัวใจขาดเลือดอีกด้วย

  • เบต้ากลูเคนกับการบำรุงผิว

เบต้ากลูแคนสามารถซึมผ่านชั้นผิวหนังได้ โดยการแทรกซึมผ่านไขมันของช่องว่างระหว่างเซลล์ลงไปได้ ทำให้เกิดการผลิตเครื่องสำอางเพื่อรักษาผิว ลบรอยและร่องลึกบนใบหน้ารักษาแผลจากการผ่าตัด ลดขนาดแผลเป็น เป็นต้น

  • เบต้ากลูเคนกับการรักษาโรคข้ออักเสบ

เบต้ากลูแคนช่วยสร้างน้ำหล่อเลี้ยงในข้อ(Synovial fluid) โดยกระตุ้นการทำงานของ Synovial fibroblast ในข้อกระดูกตรงบริเวณเยื่อหุ้มข้อ(Synovial membrane) ที่ทำหน้าที่ผลิตสาร Hyaluronic acid ซึ่งเป็นองค์ประกอบในน้ำเลี้ยงไขข้อ(Synovial fluid) นอกจากนี้เบต้ากลูแคนยังช่วยกระตุ้นแมคโครเฟจให้ช่วยทำลายเชื้อจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดการอักเสบ การรักษาด้วยวิธีนี้จะมีประสิทธิภาพสูงในคนไข้ที่ข้อเข่าเสื่อมระดับรุนแรงปานกลาง โดยการใช้ร่วมกับยา glucosamine sulfate จะได้ผลดีขึ้น


เบต้ากลูแคนเหมาะสำหรับใครบ้าง

  1. ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ หรือ บกพร่อง ซึ่งจะพบมากในผู้สูงอายุ
  2. ผู้ที่ไวต่อการเกิดภูมิแพ้
  3. ผู้ที่เป็นโรคภูมิต้านทานทำลายตนเอง (โรคพุ่มพวง)
  4. ผู้ที่เป็นโรคติดเชื้อทุกชนิด
  5. ผู้ที่เป็นแผลหายช้า หรือ หายยาก รวมทั้งแผลจากเบาหวาน
  6. ผู้ที่ต้องการชะลอวัย
  7. ผู้ป่วยโรคมะเร็งทุกชนิด
  8. ผู้ป่วยที่ได้รับการฉายรังสี หรือ ฉีดยาคีโมเพื่อรักษาโรคมะเร็ง รวมถึงผู้ที่ได้รับอุบัติเหตุจากรังสีทุกชนิด
  9. ผู้ที่เป็นโรคขาดอาหาร
  10. นักกีฬาหรือผู้ที่ออกกำลังกายอย่างหนัก
  11. ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ
  12. ผู้ที่มีไขมันคอเลสเตอรอลในเลือดสูง
  13. ผู้ที่เป็นโรคข้อกระดุกอักเสบ
  14. ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน
  15. ผู้ที่มีความเครียดทั้งทางด้านร่างกาย หรือ จิตใจ
  16. สัตว์ต่างๆ เช่น สุนัข จะได้ประโยชน์จากการรับประทานเบต้ากลูแคนเช่นเดียวกับมนุษย์ เพื่อให้มีสุขภาพที่ดีและอายุยืน

อาการข้างเคียง (Side Effect)

ยังไม่พบอาการข้างเคียงจากการรับประทานเบต้ากลูแคน แต่บางรายอาจเกิดการแพ้โปรตีนในยีสที่ชื่อ แมนแนน(Mannan) แต่เป็นการแพ้ที่อาการไม่รุนแรง อาจมีอาการคันหรือท้องเสียเล็กน้อย แต่ถ้าผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงจะสกัด Mannoprotein ออกได้หมด ทำให้ปราศจากอาการข้างเคียงได้


ขนาดการรับประทาน (Dosage)

  • ขนาดที่ใช้ป้องกันหรือบำรุงร่างกาย

รับประทานวันละ 200 มก. ครั้งเดียว หรือ 100 มก. วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น หรือ 2 มก./นน.ตัว 1 กก. โดยให้รับประทานก่อนอาหารครึ่งชั่วโมง(ตอนท้องว่าง)

  • ขนาดที่ใช้ในการรักษา 

ความรุนแรงปกติ : 200 มก. วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น

ความรุนแรงปานกลาง : 200 มก. วันละ 3 ครั้ง เช้า-กลางวัน-เย็น

ความรุนแรงมาก : 400-800 มก. ต่อครั้ง


ระยะเวลาในการเห็นผล

ส่วนใหญ่จะเห็นผลดีประมาณ 14 วัน นับจากวันที่ใช้ ในรายที่มีอาการเรื้อรังอาจต้องใช้เวลาถึง 2 เดือนจึงจะเห็นประโยชน์


แหล่งที่มาของข้อมูล

หนังสือเบต้ากลูแคนดีที่สุดในโลก ที่มนุษย์เคยพบ ของ ศ.ดร.นพ.สมศักดิ์ วรคามิน