Skip to content

รับมือกับปัญหาริ้วรอยฉบับ 2023

รีวิวการดูแลผิวด้วยหัตถการทางการแพทย์

1. การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peels)

กระบวนการนี้มีใช้สารบางชนิดกับผิวหนังเพื่อให้เกิดความเสียหายเล็กน้อยอันนำไปสู่การซ่อมแซมและฟื้นฟูผิวในภายหลัง ผิวใหม่มักจะมีเนื้อสัมผัสที่เรียบเนียนกว่าและมีริ้วรอยน้อยกว่า สามารถใช้สารเคมีในการผลัดเซลล์ผิวได้กับใบหน้า ลำคอ และมือได้ สารเหล่ายังสามารถใช้ในการรักษาแผลเป็นจากสิว ผิวแก่ก่อนวัย รอยตีนกา แผลเป็น ผิวที่ถูกทำลายจากแสงแดด และรอยเหี่ยวย่น 

สารที่ใช้ในการลอกแต่ละชนิดผิวสามารถเข้าถึงผิวหนังในระดับความลึกที่แตกต่างกัน การผลัดเซลล์ผิวชั้นตื้นสามารถรักษาความผิดปกติเล็กๆ น้อยๆ ของผิวหนังและริ้วรอยตื้นๆ ได้ ในขณะที่ริ้วรอยที่ลึกหรือผิวที่มีความผิดปกติมากนั้นอาจต้องใช้สารลอกผิวที่ลงในชั้นผิวระดับที่ลึกกว่า สารที่ใช้ในการลอกผิว เช่น  alpha-hydroxy acids (เช่น glycolic และ lactic acids) trichloroacetic acid, beta-hydroxy acids เป็นต้น ซึ่งผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการลอกผิวด้วยสารเหล่านี้ ได้แก่ อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงของสีผิวชั่วคราวหรือถาวร การเกิดแผลเป็น และการเกิดซ้ำของโรคเริม ความรุนแรงของผลข้างเคียงจากการผลัดเซลล์ผิวขึ้นอยู่กับความแรงของสารที่ใช้และความลึกของการผลัดเซลล์ผิว ผลข้างเคียงอาจคงอยู่เป็นเวลาหลายสัปดาห์ สำหรับการลอกผิวที่ชั้นผิวไม่ลึกโดยทั่วไปต้องทำการรักษาหลายครั้งก่อนที่จะเห็นผลลัพธ์

2.การกรอผิว (Dermabrasion และ Microdermabrasion)

การกรอผิวคล้ายกับการลอกผิวด้วยสารเคมี การกรอผิวทำให้เกิดการผลัดเซลล์ผิวชั้นบน ซึ่งนำไปสู่การสร้างของผิวหนังใหม่ Dermabrasion ใช้วิธีการเชิงกลหรือการขัดเพื่อขจัดผิวหนังชั้นบนสุด ขั้นตอนการกรอผิวสามารถใช้สำหรับการฟื้นฟูเพื่อชะลอวัย หรือเพื่อลดรอยของแผลเป็นหรือความผิดปกติเล็กน้อยถึงปานกลางอื่นๆ 

Dermabrasion ขจัดผิวหนังชั้นนอกและอาจลึกเข้าไปในชั้นหนังแท้ เนื่องจากการกรอผิวเกี่ยวข้องกับการกำจัดเนื้อเยื่อที่มีชีวิตออก จึงมีความเจ็บปวดและต้องใช้ยาชา ตั้งแต่ยาชาเฉพาะที่ไปจนถึงยาระงับประสาท ขึ้นอยู่กับความไวต่อความเจ็บปวดของแต่ละบุคคลและระดับความลึกของการกรอผิว รอยแดงและการตกสะเก็ดอาจเกิดขึ้นได้เป็นเรื่องปกติ มักแนะนำให้ใช้ยาปฏิชีวนะ ขี้ผึ้งต้านการอักเสบ และยาแก้ปวดสำหรับบริเวณที่มีอาการหลังการรักษา ควรลดการถูกแสงแดดเป็นเวลาหนึ่งเดือนหรือมากกว่า ก่อนและหลังการกรอผิว อย่างไรก็ตามการรักษาด้วยการกรอผิวอาจเกิดรอยแดง แผลเป็น หรือความผิดปกติอื่นๆ ของผิวหนังตามมาได้

การกรอผิวด้วยไมโครเดอร์มา (Microdermabrasion) นั้นคล้ายกับการกรอผิวหนังแบบทั่วไปแต่ขจัดเฉพาะชั้นบนของหนังกำพร้าเท่านั้น การกรอผิวด้วยไมโครเดอร์มาเบรชั่นสามารถลดความผิดปกติของผิวหนังชั้นตื้น หรือใช้เพื่อปรับปรุงลักษณะของผิวหนัง เทคนิคนี้ให้ผลลัพธ์ชั่วคราวซึ่งอาจต้องใช้การรักษามากถึง 16 ครั้งจึงจะเห็นผล เนื่องจากมีเพียงชั้นบนของผิวหนังชั้นนอกเท่านั้นที่ได้รับการขจัดออก microdermabrasion ถือเป็นเทคนิคที่ค่อนข้างปลอดภัย มีรอยแดงน้อยหลังการรักษา อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีอาจเกิดรอยแดงเป็นเวลานาน อาการคัน การแตกของหลอดเลือดขนาดเล็ก รอยช้ำ และเลือดออกเฉพาะจุด

3. การฉีดโบท็อกซ์ 

โบท็อกซ์ (ชื่อทางการค้าของโบทูลินั่ม ท็อกซิน ชนิดเอ) เป็นหนึ่งในหัตถการที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา มีการศึกษาจำนวนมากแสดงให้เห็นว่าการฉีดโบท็อกซ์สามารถรักษารอยย่นบนใบหน้าได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ รวมถึงรอยขมวดคิ้ว ตีนกา และหน้าผาก โบท็อกซ์เป็นสารพิษต่อระบบประสาทที่มีคุณสมบัติยับยั้งการปลดปล่อยสารอะซิติลโคลีน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่ใช้ในการหดตัวของกล้ามเนื้อ การฉีดโบท็อกซ์ในปริมาณเล็กน้อย ทำให้กล้ามเนื้อใบหน้าผ่อนคลายชั่วคราวและลดเลือนริ้วรอยได้ ผลลัพธ์อาจอยู่ได้นานหลายเดือน ในการฉีดโบท็อกซ์อาจเกิดรอยช้ำและความเจ็บปวดเล็กน้อยบริเวณที่ฉีด เช่นเดียวกับอาการแพ้ อาจเกิดขึ้นได้หลังจากฉีดโบท็อกซ์ ภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ได้แก่ ความไม่สมดุลของใบหน้า หนังตาตก แม้ว่าอาการแทรกซ้อนเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่บ่อยและเกิดขึ้นชั่วคราว แต่อาการเหล่านี้มักจะทำให้ผู้เข้ารับการรักษาเกิดความวิตกกังวลอย่างมากเมื่อเกิดขึ้น

4. การผลัดผิวด้วยเลเซอร์

การผลัดผิวด้วยเลเซอร์สามารถช่วยลดริ้วรอยและแผลเป็น ในปัจจุบันการใช้เลเซอร์มีความแม่นยำ การผลัดผิวด้วยเลเซอร์อาจใช้เพื่อรักษาข้อบกพร่องต่างๆ ของผิวหนังตลอดจนริ้วรอยที่เกี่ยวข้องกับอายุและริ้วรอยแห่งวัย รวมทั้งรอยด่างของผิวหนัง รอยโรคของหลอดเลือด เช่น telangiectasia และ rosacea และริ้วรอยตื้น และรอยเหี่ยวย่น หลังการรักษาด้วยเลเซอร์อาจเกิดการลอกเป็นขุยและการเปลี่ยนแปลงของสีผิว อย่างไรก็ตามผลข้างเคียงและความเสี่ยงของการติดเชื้อ รวมถึงโอกาสในการเกิดแผลเป็นถาวรและการเปลี่ยนแปลงสีผิวของการรักษาด้วยเลเซอร์ Fractional ลดลงเมื่อเทียบกับเทคนิคการผลัดผิวด้วยเลเซอร์อื่นๆ

5. การฉีดไฮยาลูโรนิก แอซิด

กรดไฮยาลูโรนิกได้รับการอนุมัติจาก FDA เพื่อรักษาความแก่ชราของใบหน้า เช่น การสูญเสียปริมาตรและความยืดหยุ่นของผิว ริ้วรอยและรอยย่น โดยวิธีนี้มีต้นกำเนิดในยุโรป สารเติมเต็มผิวหนังกรดไฮยาลูโรนิกเข้ามาแทนที่ผลิตภัณฑ์คอลลาเจนแบบฉีด และกลายเป็นหนึ่งในการรักษาที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในด้านความงาม 

กรดไฮยาลูโรนิกเป็นสารตามธรรมชาติในเนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกาย สารประกอบนี้ดูดโมเลกุลของน้ำอย่างมาก จึงมีคุณสมบัติช่วยคืนความอิ่มเอิบและปริมาตรให้กับผิว ผลิตภัณฑ์กรดไฮยาลูโรนิกชนิดฉีดบางชนิดได้มาจากเนื้อเยื่อของสัตว์ ในขณะที่หลายชนิดสร้างขึ้นจากการสังเคราะห์ของแบคทีเรีย สามารถเห็นผลลัพธ์ของการฉีดกรดไฮยาลูโรนิกได้อย่างรวดเร็วและผลลัพธ์คงอยู่ได้นานหลายเดือน วิธีการนี้ค่อนข้างปลอดภัย แต่อาจทำให้เกิดรอยแดง รอยช้ำ และบวมในบริเวณที่ทำการรักษาได้ และต้องฉีดซ้ำเมื่อถึงช่วงระยะเวลาหนึ่ง

6. Platelet-Rich Plasma หรือ PRP

PRP เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่สามารถช่วยในการฟื้นฟูและรักษากระดูก เส้นเอ็น และเนื้อเยื่ออื่นๆ รวมถึงผิวหน้า PRP ได้มาจากเลือดของผู้เข้ารับการรักษาเอง โดยผ่านกระบวนการแยกและทำให้เป็นเกล็ดเลือดเข้มข้น PRP ทั้งในรูปแบบทาและฉีด ได้รับการศึกษาเพื่อใช้ในการรักษาริ้วรอย ความผิดปกติของเม็ดสีและผิวหนังที่ถูกทำลายจากแสงแดด PRP มักใช้ร่วมกับการรักษาอื่นๆ เช่น การผลัดผิวด้วยเลเซอร์

 ในการทดลองเบื้องต้นในอาสาสมัครที่มีสุขภาพดี 10 คน พบว่า PRP ช่วยปรับปรุงผิวหน้า ความกระชับ ความหย่อนคล้อย และรอยเหี่ยวย่นของผิวหน้าได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้มีการศึกษาพบว่าการใช้ PRP ร่วมกับการรักษาด้วยเลเซอร์มีผลข้างเคียงน้อยกว่า ระยะเวลาการรักษาสั้นลง และการตอบสนองโดยรวมดีกว่าการรักษาด้วยเลเซอร์เพียงอย่างเดียว

7. การฉีดสเต็มเซลล์จากไขมัน

เนื้อเยื่อไขมันเป็นแหล่งของเซลล์ต้นกำเนิดที่สามารถใช้เพื่อการรักษาบาดแผลและการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ หลักฐานจากการศึกษาในสัตว์บ่งชี้ว่าการฉีดสเต็มเซลล์ที่ได้มาจากไขมันอาจเป็นวิธีการรักษาที่ดีสำหรับผิวที่แก่ก่อนวัย และมีเคสการศึกษาในมนุษย์พบว่าการฉีดสเต็มเซลล์ที่ได้จากไขมันมีผลในเชิงบวกต่อสภาพผิวที่ถูกทำลายจากแสงแดด มีการศึกษาในหนูพบว่าการฉีดสเต็มเซลล์ที่ได้จากไขมันช่วยลดรอยเหี่ยวย่นที่เกิดจากรังสี UVB ได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยกระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจนและทำให้ผิวหนังหนาขึ้น และยังช่วยต่อต้านความชราในผิวหนังของหนู

8. การใช้คลื่นวิทยุ เช่น Thermage

Radiofrequency ถูกนำมาใช้เพื่อรักษาริ้วรอยและกระชับผิว อุปกรณ์ที่ใช้คลื่นความถี่วิทยุทำงานโดยสร้างความร้อนในชั้นผิวที่ลึกลงไป กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ บางครั้งมีการใช้เทคโนโลยีนี้ร่วมกับวิธีการผลัดผิวด้วยเลเซอร์ แม้ว่ายังคงมีคำถามเกี่ยวกับประสิทธิภาพของการบำบัดด้วยคลื่นวิทยุ แต่รายงานความพึงพอใจของผู้ป่วย 88 คนก็อยู่ในระดับสูง ผลการสำรวจการรักษาด้วยคลื่นวิทยุ 5,700 ครั้ง พบว่า 87% ของผู้เข้ารับการรักษาสังเกตเห็นว่าผิวหนังกระชับขึ้นในทันที และ 92% รายงานว่ากระชับขึ้นซึ่งกินเวลาหกเดือนหลังการรักษา นอกเหนือจากการใช้งานด้านความงามแล้ว เทคโนโลยีคลื่นวิทยุยังมีประโยชน์ในการรักษาสิว แผลเป็นจากสิว คีลอยด์ และโรคผิวหนังอักเสบโรซาเซีย ตัวอย่างเช่น มีผลการรีวิวที่ระบุว่ารอยแผลเป็นจากสิวดีขึ้น 25–75% ผลข้างเคียงการรักษาด้วยคลื่นวิทยุ เช่น ความเจ็บปวดชั่วคราว ตกสะเก็ด รอยช้ำ รอยแดง และความแห้งกร้าน

9. เมโสเทอราปี

เมโสเทอราพีเป็นวิธีการฉีดวิตามิน แร่ธาตุ กรดอะมิโน กรดไฮยาลูโรนิก และสารอื่นๆ เข้าในผิวชั้นตื้น การฉีดเมโสเทอราพีมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ที่ผลิตคอลลาเจน เมโสเทอราพีซึ่งเป็นที่นิยมในยุโรปมานานหลายปีและได้รับความสนใจมากขึ้นในสหรัฐอเมริกา การทดลองทางคลินิกได้แสดงให้เห็นว่าการรักษาด้วยเมโสเทอราพีสามารถเพิ่มความชุ่มชื้น ความกระชับของผิว ลดริ้วรอยและความเสื่อมชราของผิวจากการถูกทำลายด้วยแสงแดด การศึกษาในผู้หญิง 55 คนที่ผิวร่วงโรย โดยใช้ระยะเวลาในการรักษา 3 เดือนกับ สูตร Mesotherapy ที่ใช้กรดไฮยาลูโรนิกกับ mannitol พบว่าความยืดหยุ่นของผิวและความกระจ่างใสของผิวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม มีการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่า Mesotherapy เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพสำหรับการฟื้นฟูผิวหน้า

เอกสารอ้างอิง

Life Extension. Disease Prevention and Treatment, 6th ed. (pp. 3583-3590). LE Publications, Inc.. Kindle Edition.