Skip to content

ตอบทุกข้อสงสัยอาหารเสริม Probiotics

1. โพรไบโอติกส์ (Probiotics)  คืออะไร ต่างกับพรีไบโอติกส์ (Prebiotics) และซินไบโอติกส์ (Synbiotics) อย่างไร

โพรไบโอติกส์ (Probiotics)  คือกลุ่มแบคทีเรียหรือยีสต์ที่อยู่ในระบบทางเดินอาหารและระบบอื่นๆของร่างกาย ที่เมื่อมีอยู่ในประมาณที่เหมาะสมจะช่วยในการทำงานของระบบทางเดินอาหารและระบบอื่นๆของร่างกาย เนื่องจากจุลินทรีย์ที่เป็นมิตรเหล่านี้มีส่วนช่วยในการดูดซึมสารอาหาร การป้องกันโรค และรักษาสมดุลภาวะที่ผิดปกติของร่างกาย

พรีไบโอติก (Prebiotics) คือ ส่วนของอาหารที่ย่อยไม่ได้ แต่ช่วยให้สภาวะในระบบทางเดินอาหารเหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของโพรไบโอติก โดยทั่วไปพรีไบโอติกมักเป็นอาหารในกลุ่มคาร์โบไฮเดรต เช่น ฟรุคโตโอลิโกแซคคาไรด์ (fructooligosaccharide, FOS) และอินูลิน (inulin)

ซินไบโอติกส์ (Synbiotics) คือ การนำโพรไบโอติกส์ (Probiotics) ที่เป็นจุลินทรีย์ที่ดีต่อลำไส้ และพรีไบโอติกส์ (Prebiotics) ซึ่งเป็นแหล่งใยอาหารของโพรไบโอติกส์ผสานเข้าด้วยกันจึงช่วยเสริมฤทธิ์ทำให้การทำงานของโพรไบโอติกส์ เพิ่มขึ้น เมื่อรวมโพรไบโอติกและพรีไบโอติกไว้ในผลิตภัณฑ์อาหารเดียวกัน จะเรียกผลิตภัณฑ์นั้นว่าผลิตภัณฑ์ที่มีซินไบโอติก (Synbiotics)

2. โพรไบโอติกส์ (Probiotics) มีสายพันธ์อะไรบ้าง มีประโยชน์อย่างไร ควรเลือกรับประทานแบบไหน

การรับประทานโพรไบโอติกส์ที่ดี ควรจะรับประทานให้หลากหลายสายพันธุ์ เพื่อให้สามารถดูแลสุขภาพได้หลากหลายด้าน เนื่องจากโพรไบโอติกส์แต่ละสายพันธุ์มีคุณสมบัติและคุณประโยชน์ที่ไม่เหมือนกัน และปัญหาสุขภาพของแต่ละคนก็แตกต่างกัน ดังนั้นการเลือกทานโพรไบโอติกส์เพียงชนิดใดชนิดหนึ่งอาจไม่เพียงพอที่จะแก้ไขปัญหาของเราได้

ตัวอย่างสายพันธ์ของโพรไบโอติกส์ที่มีประโยชน์มีดังนี้

Saccharomyces Boulardii เป็นยีสต์ที่พบได้ในกลุ่มโพรไบโอติกส์ ไม่มีอยู่ในร่างกายของมนุษย์ตามธรรมชาติ แซคคาโรไมซิสช่วยบรรเทาอาการท้องเสีย และบรรเทาปัญหาที่เกี่ยวข้องกับด้านทางเดินอาหาร

Bacillus Coagulans เป็นโพรไบโอติกส์ที่สามารถทนความร้อนและกรดในกระเพาะอาหารได้ ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันร่างกาย ระบบย่อยอาหาร ลดอาการลำไส้แปรปรวน ลดอาการท้องร่วง

Lactobacillus acidophilus สร้างสมดุลในลำไส้ เสริมภูมิคุ้มกัน ช่วยย่อยและดูดซึมสารอาหาร ช่วยปรับ pH ในช่องคลอดให้สมดุล เพิ่มจำนวนจุลินทรีย์ชนิดดีในช่องคลอด สามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรียจากการฟักตัวและเจริญเติบโตได้

Lactobacillus rhamnosus ช่วยปรับ pH ในช่องคลอดให้สมดุล เพิ่มจำนวนจุลินทรีย์ชนิดดีในช่องคลอด สามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรียจากการฟักตัวและเจริญเติบโตได้ ลดความเครียดและความกังวลขณะตั้งครรภ์ และหลังคลอด ลดความเสี่ยงการเกิดภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์

Lactobacillus paracasei ช่วยลดการอักเสบและช่วยให้การบีบตัวในระบบทางเดินอาหารของผู้ป่วยที่เป็นโรคลำไส้แปรปรวน (irritable bowel syndrome: IBS) ให้ดีขึ้นได้ บรรเทาอาการท้องอืด อาการปวด สุขภาพช่องปากดีขึ้น ลดอาการฟันผุ

Lactobacillus salivarius สามารถช่วยรักษาสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ ช่วยในการย่อยและดูดซึมสารอาหาร

Lactobacillus reuteri เป็นหนึ่งในโพรไบโอติกส์สำหรับเด็ก เพราะเป็นสายพันธุ์ที่มีงานวิจัยทางการแพทย์รองรับหลายชิ้นว่า โพรไบโอติกส์นิดนี้อาจช่วยให้เด็กมีร่างกายแข็งแรง และช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้ โพรไบโอติกส์สายพันธุ์เฉพาะ Lactobacillus reuteri DSM17938 ยังได้รับการแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญจากสมาคมแพทย์โรคระบบทางเดินอาหารนานาชาติ (WGO: World Gastroenterology Organisation) ซึ่งได้แนะนำโพรไบโอติกส์สายพันธุ์นี้เพื่อป้องกันการติดเชื้อในเด็กที่ต้องเข้าศูนย์รับเลี้ยงตอนกลางวัน เด็กเล็กที่มีอาการร้องกวนโคลิค หรือเด็กที่มีภาวะปวดท้อง

Lactobacillus gasseri ส่งเสริมสุขภาพลำไส้ กระตุ้มภูมิคุ้มกัน ลดการติดเชื้อก่อโรค

Bifidobacterium longum ป้องกันภูมิแพ้ ไข้หวัดใหญ่ ส่งเสริมสุขภาพลำไส้ ป้องกันลำไส้อักเสบและมะเร็งลำไส้

Bifidobacterium lactis ช่วยส่งเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ลดการอักเสบช่วยในการย่อยอาหาร ปรับสมดุลการทำงานของลำไส้

Bifidobacterium breve ป้องกันอาการภูมิแพ้ผิวหนัง ผื่นคัน หอบหืดที่เกิดจากภูมิแพ้ ลดการอักเสบติดเชื้อซึ่งนำไปสู่ภาวะลำไส้รั่ว  ทำให้ผนังลำไส้ให้อยู่ในสภาวะสมบูรณ์มากขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบเมตาบอลิซึม  ลดการสะสมของไขมันในอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกาย

Bifidobacterium bifidum พบได้ทั่วไปในลำไส้ใหญ่และช่องคลอด ถือเป็นโพรไบโอติกส์ที่สำคัญช่วยป้องกันการเพิ่มจำนวนของเชื้อแบคทีเรียก่อโรค โดยไปยึดเกาะผนังลำไส้ คอยเพิ่มจำนวนและแย่งสารอาหารจากจุลินทรีย์ชนิดที่ไม่ดี เสริมภูมิคุ้มกัน ช่วยเพิ่มการดูดซึมแร่ธาตุ

Bifidobacterium animalis เป็นโพรไบโอติกส์ที่สามารถทนกรดในกระเพาะอาหารได้ ปรับสมดุลในลำไส้ ช่วยในเรื่องลดน้ำตาลและไขมันในเลือด

Bifidobacterium infantis เป็นสายพันธุ์ของแบคทีเรียโพรไบโอติกส์ที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติในระบบทางเดินอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทารก มีผลกระตุ้นภูมิคุ้มกันและสามารถช่วยควบคุมระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยเพิ่มการตอบสนองของภูมิคุ้มกัน กระตุ้นการผลิตเซลล์ภูมิคุ้มกัน และช่วยป้องกันเชื้อโรค อาจลดความเสี่ยงของการติดเชื้อทางเดินหายใจ การติดเชื้อในทางเดินอาหาร และสภาวะที่เกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกันอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยในการส่งเสริมสุขภาพจิตและระบบประสาท

3.ถ้ารับประทานยาฆ่าเชื้ออยู่จะรับประทานโพรไบโอติส์ได้หรือไม่

สามารถรับประทานด้วยกันได้ค่ะ หรือจะรอให้รับประทานยาฆ่าเชื้อให้ครบโดสก่อนค่อยรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกลุ่มโพรไบโอติกส์เพื่อปรับสมดุลของ Normal flora หรือจุลินทรีย์ประจำถิ่นที่เสียไป

4. โพรไบโอติส์มีส่วนช่วยในเรื่องสุขภาพจิตได้จริงหรือไม่

มีงานวิจัยและการศึกษาที่ระบุว่าการรับประทานโพรไบโอติกส์ส่งผลดีต่อสุขภาพจิต มีผลช่วยลดความเครียด ลดระดับคอร์ติซอล (Cortisol) หรือฮอร์โมนความเครียด นอกจากนี้โพรไบโอติกส์ยังมีผลต่อการทำงานของ Gut-Brain Axis  ได้แก่ ช่วยเพิ่มจำนวนเซลล์สื่อประสาท (Neurotransmitters) ซึ่งส่งผลต่อความอยากอาหาร อารมณ์ และการนอนหลับให้เป็นปกติ ลดการอักเสบของร่างกาย (Inflammation) ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับภาวะซึมเศร้า ส่งผลต่อ Cognitive Function ช่วยให้ร่างกายรับมือกับความเครียดได้ดีส่งผลต่อประสิทธิภาพของ Enterochromaffin Cells เป็นเซลล์ในระบบทางเดินอาหารทำหน้าที่สร้างสารสื่อประสาทที่ชื่อว่าเซโรโทนิน (Serotonin) ช่วยให้สุขภาพจิตดีอารมณ์ดีมีสมาธิ

5.เป็นกรดไหลย้อนรับประทานอย่างไร

รับประทานครั้งละ 1 แคปซูล วันละครั้ง หลังอาหาร ติดต่อกันมากกว่า 1 เดือนขึ้นไปเพื่อปรับสมดุลลำไส้ โดยโพรไบโอติกส์ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบทางเดินอาหาร ผลิตวิตามินบี 1, บี 2, บี 6, บี 12 วิตามินอี, วิตามินเค, กรดแพนโทเทนิก, กรดโฟลิก, กรดแล็กติกและกรดน้ำส้มที่มีประโยชน์ต่อลำไส้และระบบทางเดินอาหาร ช่วยให้ลำไส้ หูรูด และกระเพาะอาหารบีบปิดตัวเป็นปกติ ช่วยป้องกันการไหลย้อน

6. เด็กรับประทานได้ตั้งแต่กี่ขวบ

โดยทั่วไปแล้วเด็กสามารถรับประทานโพรไบโอติกส์ได้ตั้งแต่ยังเป็นทารกเพราะแบคทีเรียบางตัว เช่น Bifidobacterium infantis พบได้มากในลำไส้ของทารกแรกเกิด มีประโยชน์อย่างมากต่อระบบทางเดินอาหาร และช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของเด็กให้แข็งแรง มีประสิทธิภาพในการต่อต้านจุลินทรีย์ก่อโรค รวมทั้งยับยั้งสารก่อภูมิแพ้ต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี มีโพรไบโอติกส์ของหลายๆยี่ห้อทำในรูปแบบน้ำสำหรับหยดลงในน้ำรับประทาน แบบผง หรือเม็ดเคี้ยวสำหรับเด็กในแต่ล่ะวัย

7. โพรไบโอติกส์มีกี่รูปแบบ ควรรับประทานแบบไหนดีที่สุด

ปัจจุบันมีโพรไบโอติกส์หลายรูปแบบทั้งรูปแบบน้ำ ผงละลายน้ำ เม็ดเคี้ยว และเม็ดรับประทาน โดยทั่วไปโพรไบโอติกส์หลายชนิดสามารถถูกทำลายด้วยกรดในกระเพาะและความร้อน ดังนั้นการเลือกรับประทานโพรไบโอติกส์ที่ดี นอกจากดูที่สายพันธุ์ จำนวนของเชื้อแล้ว ผลิตภัณฑ์นั้นควรจะมีเทคโนโลยีที่ช่วยป้องกันไม่ให้โพรไบโอติกส์โดนทำลายด้วยกรดในกระเพาะอาหารด้วย หนึ่งในนั้นคือการใช้ DR caps ซึ่งเป็นแคปซูลจาก hypomellose capsule (HPMC) ที่ได้มาจากเปลือกสน ทนต่อการย่อยสลายโดยกรด-ด่าง ในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก ทำให้โพรไบโอติกส์มีโอกาสรอดชีวิตเข้าไปได้ถึงลำไส้ได้มากขึ้นไม่โดนทำลายระหว่างทาง

8. ขนาดการรับประทานที่แนะนำสำหรับคนทั่วไป

รับประทานวันล่ะ 1 เม็ด หลังอาหาร  

9. โพรไบโอติกส์เหมาะกับใคร

ผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพเพื่อการชะลอวัย

ผู้ที่มีปัญหาภูมิแพ้เรื้อรัง ผื่นแพ้ผิวหนัง ภูมิแพ้อาหารแฝง

ผู้ที่มีปัญหาการขับถ่าย ท้องผูกเรื้อรัง หรือมีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้

ผู้มีปัญหาภูมิต้านทานไม่ดี ติดเชื้อบ่อย เป็นหวัดง่าย

ผู้มีปัญหาสมดุลช่องคลอด มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ ตกขาวบ่อย

References

1. .Arboleya, S., Watkins, C., Stanton, C., & Ross, R. P. (2016). Gut bifidobacteria populations in human health and aging. Frontiers in microbiology, 7, 1204.

2. Turroni, F., Milani, C., Duranti, S., Ferrario, C., Lugli, G.A., Mancabelli, L., Sinderen, D.V., & Ventura, M. (2017). Bifidobacteria and the infant gut: an example of co-evolution and natural selection. Cellular and Molecular Life Sciences, 75, 103-118.