Skip to content

เข้าใจผู้สูงวัย: ทัศนคติ ความเชื่อ และการตัดสินใจด้านสุขภาพ

ประเทศไทยและหลายประเทศทั่วโลกกำลังก้าวเข้าสู่ สังคมผู้สูงวัย (Aging Society) อย่างเต็มตัว สัดส่วนผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้สูงวัยกลายเป็นกลุ่มประชากรที่สำคัญต่อการกำหนดนโยบายด้านสุขภาพและบริการทางการแพทย์

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ท้าทายไม่ใช่แค่การจัดหาทรัพยากรด้านการรักษา แต่คือ การทำความเข้าใจทัศนคติ ความเชื่อ และพฤติกรรมการแสวงหาการดูแลสุขภาพ ของผู้สูงวัย เพราะ “การตัดสินใจดูแลสุขภาพ” ไม่ได้เกิดขึ้นจากเหตุผลทางการแพทย์เท่านั้น แต่ยังมีอิทธิพลจากความคิด ความเชื่อ ประสบการณ์ชีวิต และแรงกดดันทางสังคมที่สะสมมา

ทัศนคติและความเชื่อ: พลังที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังพฤติกรรมสุขภาพ

1. การรับรู้ความเสี่ยงและความรุนแรงของโรค

ผู้สูงวัยที่ตระหนักถึงความเสี่ยงของโรค เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน หรือความดันโลหิตสูง จะมีแนวโน้มเข้ารับการตรวจและปฏิบัติตามคำแนะนำมากกว่า ในขณะที่บางคนเชื่อว่า “ความเจ็บป่วยเป็นเรื่องปกติของวัยชรา” จึงละเลยการป้องกัน

ตัวอย่างเช่น งานวิจัยในผู้สูงอายุไทยพบว่า ผู้ที่มีประสบการณ์ใกล้ชิดกับคนในครอบครัวที่เจ็บป่วยรุนแรง มักตื่นตัวและเข้ารับการตรวจสุขภาพสม่ำเสมอมากกว่า

2. ผลประโยชน์และอุปสรรคที่รับรู้

ทัศนคติด้านผลประโยชน์ (perceived benefits) และอุปสรรค (perceived barriers) มีบทบาทอย่างยิ่ง ผู้สูงวัยจะถามตัวเองเสมอว่า “สิ่งนี้คุ้มค่ากับการทำหรือไม่”

  • ถ้าเห็นประโยชน์ชัดเจน เช่น “การตรวจสุขภาพช่วยยืดอายุและทำให้ใช้ชีวิตกับครอบครัวได้ยาวนาน” จะโน้มน้าวใจให้ลงมือทำ
  • แต่หากเห็นว่า “การไปโรงพยาบาลเสียเวลาและเสียค่าใช้จ่าย” ก็อาจเลือกเลี่ยง แม้รู้ว่ามีประโยชน์ก็ตาม

3. ความมั่นใจในตนเอง (Self-Efficacy)

ความมั่นใจของผู้สูงวัยในการจัดการสุขภาพตนเองเป็นตัวกำหนดสำคัญ หากเขาเชื่อว่าตนเองสามารถควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย หรือไปพบแพทย์ได้โดยไม่เป็นภาระ จะเกิดพฤติกรรมที่ต่อเนื่อง แต่หากขาดความมั่นใจ อาจกลายเป็น “ความเฉื่อย” ที่ทำให้สุขภาพแย่ลง

4. อิทธิพลจากครอบครัวและสังคม

ผู้สูงวัยไม่ตัดสินใจเพียงลำพัง ลูกหลาน ญาติ และเพื่อนบ้านมักเป็นที่ปรึกษาและแรงผลักดันสำคัญ การได้รับกำลังใจและคำแนะนำเชิงบวกจากคนรอบตัวจึงเป็นปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการดูแลสุขภาพ

5. อคติเกี่ยวกับวัยและการยอมรับความแก่

ความเชื่อที่ว่า “แก่แล้วก็ปล่อยไป” หรือ “ไม่จำเป็นต้องรักษา” เป็นสิ่งที่พบได้บ่อยในกลุ่มผู้สูงวัยและกลายเป็นอุปสรรคต่อการดูแลสุขภาพ แนวคิดนี้ถูกอธิบายไว้ในทฤษฎี Stereotype Embodiment Theory ที่ชี้ว่า ผู้สูงวัยซึมซับทัศนคติด้านลบเกี่ยวกับความแก่เข้าสู่ตัวเอง ทำให้ขาดแรงจูงใจในการรักษาหรือป้องกันโรค

พฤติกรรมการแสวงหาสุขภาพ (Health-Seeking Behavior) ของผู้สูงวัย

1. การดูแลตนเอง (Self-Care)

ผู้สูงวัยมักเริ่มจากการจัดการตนเอง เช่น กินยาแก้ปวด ซื้อยาสามัญจากร้านขายยา ปรับอาหาร หรือใช้สมุนไพรพื้นบ้าน ตัวอย่างเช่น ในชนบทไทย ผู้สูงอายุจำนวนมากนิยมดื่มน้ำสมุนไพรหรือต้มยาใช้เองก่อนจะไปพบแพทย์

2. การค้นหาข้อมูลสุขภาพ (Health Information Seeking)

แม้ว่าผู้สูงวัยบางส่วนจะไม่ถนัดเทคโนโลยี แต่การค้นหาข้อมูลสุขภาพเริ่มแพร่หลายมากขึ้น โดยเฉพาะผู้สูงวัยที่มีลูกหลานช่วยสอนการใช้สมาร์ตโฟน การเสิร์ชข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต หรือเข้าร่วมกลุ่มไลน์สุขภาพของชุมชน

3. การเข้ารับบริการจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ

ผู้สูงวัยมักจะไปพบแพทย์เมื่ออาการรุนแรงหรือเรื้อรัง การเลือกสถานบริการขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่น ความสะดวก และค่าใช้จ่าย เช่น บางคนเลือกโรงพยาบาลรัฐเพราะค่าใช้จ่ายถูก แต่บางคนเลือกเอกชนเพราะมั่นใจในคุณภาพการรักษาและบริการที่รวดเร็ว

4. การปฏิเสธการช่วยเหลือ (Help Refusal)

ในบางกรณี ผู้สูงวัยเลือกที่จะไม่ไปพบแพทย์แม้อาการรุนแรง ด้วยเหตุผล “ไม่อยากเป็นภาระ” หรือ “กลัวถูกมองว่าอ่อนแอ” ซึ่งพฤติกรรมนี้มักพบในกลุ่มที่มีความภาคภูมิใจสูงและคุ้นชินกับการพึ่งพาตนเอง

ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ

  1. สุขภาพและโรคร่วม – ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวานหรือความดัน มักใส่ใจและเข้ารับบริการบ่อยกว่า
  2. ระดับการศึกษาและความรู้ – ผู้สูงวัยที่มีความรู้ด้านสุขภาพ สามารถประเมินและตัดสินใจเลือกการรักษาได้แม่นยำกว่า
  3. เศรษฐกิจและการเงิน – ค่าใช้จ่ายทั้งค่ารักษาและค่าเดินทาง เป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ผู้สูงวัยเลี่ยงการรักษา
  4. การเข้าถึงบริการสุขภาพ – สถานบริการใกล้บ้านและสะดวกในการเดินทาง ช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้ารับการดูแลสุขภาพ
  5. เครือข่ายสังคมและครอบครัว – ลูกหลานและคนใกล้ชิดที่สนับสนุนมีบทบาทมากในการกระตุ้นให้ผู้สูงวัยใส่ใจสุขภาพ

สรุป

ผู้สูงวัยไม่ได้ตัดสินใจด้านสุขภาพจากเหตุผลทางการแพทย์เพียงอย่างเดียว แต่ยังมี ทัศนคติ ความเชื่อ และประสบการณ์ชีวิต ที่ซับซ้อนเข้ามากำหนดพฤติกรรม ดังนั้น ผู้ให้บริการและผู้สื่อสารด้านสุขภาพควรทำความเข้าใจปัจจัยเหล่านี้ เพื่อนำไปสู่การออกแบบบริการและเนื้อหาที่ตอบโจทย์ สร้างความมั่นใจ และทำให้ผู้สูงวัยสามารถดูแลสุขภาพของตนเองได้อย่างยั่งยืน