Skip to content

ตกขาว แต่ทำไม… บางครั้งไม่ใช่สีขาวแถมมีกลิ่น!

อะไรเอ่ย ทั้งคัน ทั้งอับ ทั้งส่งกลิ่น อายก็อาย บอกใครก็ไม่ได้ ?

เชื่อว่าคุณผู้หญิงหลายคนต้องเคยมีปัญหาตกขาวมากวนใจ อยากรักษาให้หายแต่ก็อายไม่กล้าไปปรึกษาใคร ได้แต่ซื้อยามาเหน็บเองหรือกินยาฆ่าเชื้อซ้ำไปซ้ำมาจนทำลายสมดุลแบคทีเรียตัวดีที่มีอยู่ หรือบางคนถึงกับหมดความมั่นใจเมื่อถูกทักจากแฟนหนุ่มคนสนิทเรื่องกลิ่นน้องสาวเจ้าปัญหานี้เลยทีเดียว วันนี้เราจะมาไขความลับเรื่องที่ลับกัน

 

ตกขาวคืออะไร…ใครรู้บอกที

ตกขาวคือสารคัดหลั่งที่ถูกขับออกทางช่องคลอด ทำหน้าที่ช่วยให้ความชุ่มชื้นและเป็นเกาะป้องกันด่านแรกจากการติดเชื้อและระคายเคือง ลักษณะตกขาวที่ปกติคือมีสีใส (ขุ่นเล็กน้อย) ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่แสบ ไม่คัน  ปริมาณของตกขาวจะแตกต่างกันไปในแต่ละคนและแต่ละช่วงเวลาของรอบเดือน ดังนี้

  • วันที่ 1-5 ของรอบเดือน : เป็นช่วงที่มีประจำเดือน
  • วันที่ 6-14 ของรอบเดือน : ส่วนมากจะมีตกขาวน้อยกว่าช่วงปกติ ตกขาวมีลักษณะใสหรือขุ่น และอาจมีลักษณะเหนียวได้
  • วันที่ 14-25 ของรอบเดือน : ในช่วงก่อนวันตกไข่ ตกขาวอาจมีลักษณะเป็นเมือกลื่น คล้ายไข่ขาว แต่หลังจากมีการตกไข่ ตกขาวจะกลับมามีลักษณะขุ่น มีสีขาวหรือเหลือง อีกครั้ง
  • วันที่ 25-28 ของรอบเดือน : ช่วงก่อนมีประจำเดือน จะเป็นช่วงที่ตกขาวมีปริมาณน้อยลงมากจนจางหายไป

 

กลิ่นก็มา..สีก็มี  ตกขาวที่ต้องตกใจ  

จริงอยู่ที่ว่าการมีตกขาวเป็นเรื่องปกติแต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ตกขาวพากลิ่นหรือสีตามมาด้วย นั่นหมายถึงร่างกายของเรากำลังส่งสัญญาณ SOS ขอความช่วยเหลือแล้ว ต้องเร่งเข้าควบคุมดูแลน้องสาวโดยด่วน โดยสีของตกขาวและกลิ่นนับเป็นข้อมูลสำคัญในการบอกถึงต้นตอความผิดปกติ ฉะนั้น!!!!เจอตกขาวอย่าลืมดูสี

  • ตกขาวสีเทาหรือเทาอ่อน (ที่มาพร้อมกลิ่นเหม็นอับหรือคาว) ส่วนใหญ่จะเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย จากเพศสัมพันธ์ การสวนช่องคลอด หรือการรับยาปฏิชีวนะต่อเนื่อง
  • ตกขาวเป็นก้อนสีเหลืองขาว พร้อมกลิ่นเหม็นอับ คันบริเวณอวัยวะเพศ อาจเป็นร่วมกับอาการปัสสาวะขัด มักมาจากการติดเชื้อราในช่องคลอด
  • ตกขาวสีเหลือง พร้อมกลิ่นคาวและอาการคัน ปัสสาวะขัด อาจเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น จากโรคหนองใน หรือ ติดเชื้อรา เชื้อไวรัส
  • ตกขาวสีเขียว หรือเหลืองปนเขียว พร้อมกลิ่นคาวและอาการคัน มักเกิดจากติดเชื้อจากแบคทีเรีย หรือการติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์
  • ตกขาวแบบมีเลือดปน หรือมีสีน้ำตาล อาจมีกลิ่นด้วยเกิดหลังการมีประจำเดือน หรืออาจจะเกิดจากการติดเชื้อที่ปากมดลูก เลือดออกจากการตกไข่
  • ตกขาวแบบมีฟอง มักมาพร้อมอาการระคายเคือง คัน และแสบขัดตอนปัสสาวะ อาการเกิดจากการติดเชื้อทริโคโมนาสในช่องคลอดที่สามารถติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์
  • ตกขาวสีชมพู มักพบในสาวๆที่พึ่งคลอดลูกและเกิดการลอกของเยื่อบุโพรงมดลูก

 

เชื้อโรคยอดฮิต…แอบมาติดน้องสาว

สามเชื้อโรคยอดฮิตที่ชอบมารุกรานน้องสาวได้แก่ กลุ่มเชื้อรา แบคทีเรีย โปรโตซัว โดยเชื้อแต่ละชนิดก็จะแสดงอาการต่างกัน ใช้หลักแยกง่ายๆได้ดังนี้  เชื้อรา คันยุกยิก ฉี่แสบขัด ตกขาวเหลืองขุ่น แบคทีเรีย ตกขาวเขียวเทา เหม็นคาวปลาคละคลุ้ง  โปรโตซัว มีฟองมีกลิ่น ตกขาวเขียวชัด ซึ่งเชื้อโรคแต่ละชนิดก็มีวิธีการรักษาและการใช้ยาที่แตกต่าง ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา

การติดเชื้อราในช่องคลอด (VULVOVAGINAL CANDIDIASIS)

ปัจจัยที่อาจส่งผลให้เกิดการติดเชื้อราในช่องคลอด ได้แก่ การใช้ยาปฎิชีวนะเป็นเวลานาน การมีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงขึ้นหรือได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนจากภายนอก (เช่น การใช้ยาคุมกำเนิด ภาวะตั้งครรภ์) ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ (เช่น การติดเชื้อเอชไอวี การได้รับยาสเตียรอยด์เป็นเวลานาน เป็นต้น)

ตกขาวมีลักษณะขาวขุ่นเหมือนแป้งเปียก มักมีอาการคันบริเวณปากช่องคลอด หรือมีอาการแสบร้อนในช่องคลอด ปัสสาวะแสบขัด เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ เมื่อตรวจภายในอาจพบการบวมแดงบริเวณปากช่องคลอดและช่องคลอด

การติดเชื้อแบคทีเรีย (BACTERIAL VAGINOSIS)

เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชนิดไม่ดีมีการเจริญเติบโตเพิ่มจำนวนจนมากกว่าเชื้อแบคทีเรียประจำถิ่น ทำให้เกิดการติดเชื้อขึ้น มักสัมพันธ์กับการมีคู่นอนหลายคน การสวนล้างช่องคลอด การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย และการขาดสมดุลแบคทีเรียแลคโตบาซิลลัสในช่องคลอด

ตกขาวมีสีเทาหรือเขียว มีกลิ่นเหม็นเหมือนคาวปลา มีอาการคัน อาจมีปัสสาวะแสบขัดหรือเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ร่วมด้วย ส่วนอาการอักเสบในช่องคลอดหรือแสบร้อนบริเวณปากช่องคลอดพบได้น้อย
การติดเชื้อโปรโตซัวชนิดทริโคโมแนส (TRICHOMONIASIS)
เกิดจากเชื้อโปรโตซัว TRICHOMONAS VAGINALIS ที่มักติดต่อจากการมีเพศสัมพันธ์

ตกขาวมีสีเขียวเป็นฟองและมีกลิ่นเหม็น ร่วมกับมีอาการแสบร้อนและคันบริเวณปากช่องคลอดและช่องคลอด ปัสสาวะแสบขัด เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์หรือเลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์ มีการอับเสบ บวมแดงบริเวณปากช่องคลอดและช่องคลอด 

 

แบคทีเรียดี…มีประโยชน์ต่อจุดซ่อนเร้น

แบคทีเรียดีมีด้วยหรอ?  ในแต่ละอวัยวะของเราจะมีแบคทีเรียเจ้าถิ่นที่จัดเป็นแบคทีเรียชนิดดี ทำหน้าที่คอยคุ้มกันร่างกายจากแบคทีเรียตัวร้ายที่จะมาก่อโรค แต่ถ้าร่างกายมีแบคทีเรียชนิดดีไม่เพียงพอหรือได้รับแบคทีเรียชนิดร้ายมากเกิน อาจก่อให้เกิดโรคต่างๆได้ ดังเช่นบริเวณน้องสาวของเราที่หากเสียสมดุลของแบคทีเรียเมื่อไหร่ ก็จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อชนิดต่างๆที่เป็นสาเหตุให้เกิดการตกขาวได้

ในปัจจุบันมีการใช้แบคทีเรียชนิดดีหรือที่เรียกว่า โพรไบโอติก (probiotic) เข้ามารักษาโรคมากยิ่งขึ้น เพราะส่วนใหญ่การติดเชื้อมักเกิดจากความไม่สมดุลของจุลินทรีย์ในช่องคลอด โดยเฉพาะการลดลงของเชื้อแลคโตบาซิลัส (Lactobacillus) จากระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงในแต่ละช่วงของรอบเดือนหรือการสวนล้างช่องคลอด

มีการศึกษาในผู้หญิงที่ติดเชื้อราในช่องคลอดให้ได้รับการรักษาด้วยยาร่วมกับการกินโพรไบโอติกชนิด Lactobacillus rhamnosus เป็นเวลา 1 เดือน เปรียบเทียบกับกลุ่มที่รักษาด้วยยาเพียงอย่างเดียว พบว่ากลุ่มที่ได้รับโพรไบโอติกร่วมด้วยสามารถลดการเจริญเติบโตของเชื้อราที่บริเวณช่องคลอดได้มากกว่าอีกกลุ่ม ที่เป็นเช่นนี้เพราะเชื้อกลุ่ม Lactobacillus สามารถสร้างกรดแลคติกมายับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราได้ และยังรบกวนระบบเมตาบอลิซึมของเชื้อราอีกด้วย 

 

แล้วจะดูแลเอาใจน้องสาวยังไงดี?

เมื่อเป็นเรื่องที่ลับยิ่งต้องใส่ใจดูแลเป็นพิเศษ หากน้องสาวเริ่มมีตกขาวที่ผิดปกติสิ่งที่สาวๆควรปฏิบัติคือ สังเกตสีและกลิ่นของตกขาว เพื่อเป็นข้อมูลให้แพทย์และเภสัชกรได้เลือกยาในการรักษาให้เหมาะสม แต่ขอกระซิบบอกว่าการใช้ยาฆ่าเชื้อทั้งรูปแบบกินและเหน็บล้วนเป็นการรักษาที่ปลายเหตุทั้งนั้น ยิ่งคนที่เป็นบ่อยๆการใช้ยาฆ่าเชื้อมักจะไม่ได้ผล เพราะเชื้อที่เข้ามารุกรานน้องสาวจะแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ หรือที่เรียกว่าเชื้อดื้อยานั่นเอง จะดีกว่ามั้ยถ้าเราจะหันมาดูแลใส่ใจน้องสาวแบบจริงๆจังๆ รักษากันตั้งแต่ต้นเหตุไปเลย

เริ่มต้นจาก การเติมโพรไบโอติกให้น้องสาว ให้มีแบคทีเรียตัวดีทำหน้าที่เป็นตำรวจคอยเฝ้ายาม เมื่อมีเชื้อราหรือแบคทีเรียก่อโรคมาโจมตีก็จะสามารถกดเชื้อเหล่านั้นไว้ไม่ให้เกิดอาการผิดปกติได้ โดยสายพันธุ์ที่เด่นเหมาะสมกับน้องสาวนั้นจะเป็นกลุ่ม Lactobacillus ซึ่งมีอยู่หลายยี่ห้อในท้องตลาดในรูปแบบรับประทาน เช่น Vistra Vaginy®, BiofitX®, Biobac® ทานต่อเนื่องยิ่งได้ผลดีต่อร่างกาย หรืออาจเลือกใช้แบบเหน็บก็มีให้ใช้เช่นเดียวกันคือ Gynoflor® ที่มักนิยมใช้เวลามีอาการ

อีกเรื่องที่เป็นปัญหาใหญ่คือเรื่อง การสวนล้าง เราควรทำความสะอาดน้องสาวแค่ภายนอกไม่ควรสวนล้างภายในช่องคลอดเพราะ ในช่องคลอดของสาวๆจะมีสภาพเป็นกรดและมีแบคทีเรียบางชนิดอาศัยอยู่เพื่อรักษาสมดุล และคอยป้องกันการติดเชื้อโรคชนิดต่างๆ ซึ่งการสวนล้างช่องคลอดจะทำให้สภาวะสมดุลนี้เสียไป เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย อีกทั้งน้ำสบู่ยังทำให้เซลล์เยื่อบุของช่องคลอดโดนทำลายไปบางส่วน เพิ่มความเสี่ยงการเกิดตกขาวมีกลิ่นเหม็นจากการเพิ่มจำนวนของแบคทีเรียบางชนิดที่ก่อโรคในช่องคลอดได้ถึง ห้าเท่า หากต้องการทำความสะอาด ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม มีค่าความเป็นกรดด่างสมดุลเป็นมิตรกับน้องสาว 

อาหารการกินก็มีผลต่อน้องสาวเหมือนกัน เพื่อป้องกันการเกิดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ควร หลีกเลี่ยงการทานอาการที่มีกลิ่นแรง เช่น หน่อไม้ดอง ผลไม้ดอง ปลาร้า เครื่องเทศบางชนิด เป็นต้น ควรเลือกรับประทานอาหารประเภทผักและผลไม้ให้สมดุล เนื่องจากการรับประทานอาหารที่สมดุลจะทำให้ร่างกายมีสุขภาพดี รวมถึงสุขภาพช่องคลอดก็จะดีตามไปด้วยเช่นกัน น้องสาวของเราก็จะแฮปปี้ห่างไกลจากการติดเชื้อต่างๆ

 

ข้อมูลอ้างอิง

  1. Drug Information Service ศูนย์ข้อมูลยาโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์. ตกขาว เรื่องที่ผู้หญิงเราควรรู้ [อินเทอร์เน็ต]. กรุงเทพฯ: โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์; 2563 [เข้าถึงเมื่อ 20 ธ.ค. 2563] เข้าถึงได้จาก: https://www.bumrungrad.com/th/health-blog/june-2020/leukorrhea
  2. พญ. จุฑาธิป พูนศรัทธา. สีตกขาวบอกโรค [อินเทอร์เน็ต]. กรุงเทพฯ: โรงพยาบาลเวชธานี; 2563 [เข้าถึงเมื่อ 20 ธ.ค. 2563] เข้าถึงได้จาก: https://www.vejthani.com/th/2019/05
  3. อ.พญ.เจนจิต  ฉายะจินดา. สวนล้างช่องคลอด สะอาดจากภายในสู่ภายนอกจริงหรือ [อินเทอร์เน็ต]. กรุงเทพฯ: คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล; 2554 [เข้าถึงเมื่อ 22 ธ.ค. 2563] เข้าถึงได้จาก: https://www.si.mahidol.ac.th/th/healthdetail.asp?aid=906