Skip to content

Fish oil รวมประโยชน์ที่คุณอาจยังไม่รู้

เมื่อพูดถึงน้ำมันปลา (Fish oil) หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับประโยชน์ในการบำรุงสมอง แต่จริงๆ แล้ว น้ำมันปลามีคุณสมบัติที่น่าทึ่งมากกว่าที่คุณคิด ทั้งช่วยเสริมสุขภาพหัวใจ ลดการอักเสบ วันนี้เรามาทำความรู้จักกับน้ำมันปลากันให้มากขึ้นว่าทำไมคุณถึงควรมีไว้ในชีวิตประจำวัน

น้ำมันปลา คืออะไร?

น้ำมันปลาคือกรดไขมันไม่อิ่มตัวกลุ่มโอเมก้า-3 โดยมีกรดไขมันสำคัญสองชนิดคือ กรดไขมันอีพีเอ (Eicosatetraenoic Acid: EPA) และ กรดไขมันดีเอชเอ (Docosahexaenoic Acid: DHA) ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อระบบต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะการลดการอักเสบและเสริมสร้างสุขภาพหัวใจ

กรดไขมันมีกี่ชนิด?

กรดไขมันคือสายโซ่ที่ประกอบด้วยอะตอมของคาร์บอน ออกซิเจน และไฮโดรเจน โดยเราสามารถแบ่งกรดไขมันออกเป็นสองประเภทหลัก ได้แก่

  1. กรดไขมันอิ่มตัว
    กรดไขมันอิ่มตัวมักถูกมองว่าเป็นไขมันที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เพราะมันเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง กรดไขมันประเภทนี้มักพบในอาหารที่มีไขมันจากสัตว์ เช่น เนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากนม
  2. กรดไขมันไม่อิ่มตัว
    กรดไขมันไม่อิ่มตัวแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก
    • กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน
      เป็นไขมันที่ดีต่อสุขภาพ สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและเสริมสร้างการทำงานของหัวใจได้
    • กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว
      ไขมันชนิดนี้ยังมีคุณค่าทางโภชนาการสูง และมีประโยชน์ต่อระบบหลอดเลือดและหัวใจเช่นเดียวกัน

กรดไขมันโอเมก้า-3 ซึ่งเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง จัดเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าสำหรับการบริโภคเมื่อเทียบกับกรดไขมันอิ่มตัว เพราะมันช่วยส่งเสริมสุขภาพหัวใจและสมองได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ประโยชน์ของน้ำมันปลาที่ควรรู้
  1. บำรุงหลอดเลือด ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ
    มีงานวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่าการรับประทานน้ำมันปลาเป็นประจำสามารถลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ เนื่องจากน้ำมันปลามีคุณสมบัติลดระดับไตรกลีเซอไรด์
  2. ลดการอักเสบและบรรเทาอาการข้ออักเสบ
    น้ำมันปลาช่วยลดการอักเสบภายในร่างกาย ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ที่มีอาการของโรคข้ออักเสบ ทำให้อาการเจ็บปวดลดลงและเพิ่มความยืดหยุ่นของข้อต่อ
  3. เสริมสร้างสุขภาพสมอง
    DHA ในน้ำมันปลามีส่วนช่วยในการพัฒนาสมองและระบบประสาท โดยเฉพาะในช่วงตั้งครรภ์และวัยเด็ก นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่สนับสนุนว่าการบริโภค DHA เป็นประจำสามารถลดความเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์และภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุได้อีกด้วย
  4. ส่งเสริมสุขภาพจิต
    โอเมก้า-3 มีส่วนสำคัญในการปรับสมดุลอารมณ์และลดความวิตกกังวล
  5. ลดอาการของผิวหนังอักเสบ
    การรับประทานน้ำมันปลาในปริมาณสูงช่วยบรรเทาอาการของผิวหนังอักเสบและภูมิแพ้ผิวหนัง นอกจากนี้ยังช่วยฟื้นฟูสภาพผิวได้อีกด้วย
  6. บรรเทาอาการหอบหืดในเด็ก
    งานวิจัยบางฉบับชี้ให้เห็นว่าน้ำมันปลาอาจช่วยลดความรุนแรงของโรคหอบหืด โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กที่รับประทานน้ำมันปลาและสารอาหารเสริมอื่นๆ ร่วมด้วย
  7. ส่งเสริมสุขภาพหญิงตั้งครรภ์
    น้ำมันปลามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาสมองของทารกในครรภ์ คำแนะนำจากองค์การอนามัยโลก (WHO) คือหญิงตั้งครรภ์ควรบริโภคน้ำมันปลาอย่างน้อย 100-300 มิลลิกรัมของ DHA ต่อวัน
ปริมาณที่ควรรับประทาน

สำหรับการบริโภคน้ำมันปลาในชีวิตประจำวัน แนะนำให้ทานปลาอย่างน้อย 2 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยเฉพาะปลาทะเลน้ำลึกเช่น ปลาแซลมอน ปลาทู และปลาซาร์ดีน ในกรณีที่ไม่สามารถทานปลาได้ อาจเลือกทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารน้ำมันปลาที่มี EPA และ DHA อย่างน้อย 1 กรัมต่อวัน

ขนาดที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยบางกลุ่ม
  • โรคหัวใจ: 0.5–2 กรัมต่อวัน
  • โรคความดันโลหิตสูง: 3–5 กรัมต่อวัน
  • โรคไขมันในเลือดสูง: 3–5 กรัมต่อวัน
  • ผู้ที่มีความเครียดสะสม: 1.5-2 กรัมต่อวัน
ข้อควรระวัง

น้ำมันปลาปลอดภัยสำหรับการรับประทานในปริมาณที่แนะนำ แต่สำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องเลือดออกง่ายหรือใช้ยาละลายลิ่มเลือด

สาระเพิ่มเติม

นอกจาก EPA และ DHA แล้วยังมีกรดไขมันแอลฟาไลโนเลนิก (Alpha-Linolenic Acid: ALA) ALA เป็นกรดไขมันโอเมก้า-3 สำคัญ ที่พบได้ในพืช โดยร่างกายสามารถเปลี่ยน ALA ให้เป็นกรดไขมันโอเมก้า-3 ชนิดอื่น ๆ เช่น EPA และ DHA ได้ ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจและสมอง อย่างไรก็ตาม ร่างกายไม่สามารถสร้าง ALA ได้เอง จึงจำเป็นต้องได้รับจากอาหาร เช่น เมล็ดพืช ถั่วต่าง ๆ และน้ำมันพืช

น้ำมันปลาอาจไม่ทำให้คุณว่ายน้ำเก่งขึ้น แต่จะช่วยให้สุขภาพของคุณแข็งแรงขึ้นได้แน่นอน!
เอกสารอ้างอิง

Braun, Lesley; Cohen, Marc. Herbs and Natural Supplements, Volume 2: An Evidence-Based Guide (p. 328). Elsevier Health Sciences. Kindle Edition.