Skip to content

น้ำมันโบราจและน้ำมันงา ช่วยเรื่องข้อ ๆ ได้จริงหรือ?

ปัญหาข้อเสื่อมและการมองหาทางเลือกธรรมชาติ

เมื่ออายุเพิ่มขึ้นหรือมีการใช้งานข้ออย่างหนัก ปัญหาข้อเสื่อมและข้ออักเสบ เช่น โรคข้อเสื่อม (Osteoarthritis) และโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis) กลายเป็นสิ่งที่หลายคนต้องเผชิญ การใช้ยารักษาอย่างต่อเนื่องอาจมีผลข้างเคียงในระยะยาว จึงเกิดการมองหาทางเลือกเสริมสุขภาพและบำรุงข้อจากธรรมชาติ หนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจ คือ “น้ำมันโบราจ” และ “น้ำมันงา” ซึ่งต่างมีสารออกฤทธิ์ที่เชื่อว่าช่วยบรรเทาการอักเสบและส่งเสริมสุขภาพข้อได้

น้ำมันโบราจ (Borage Oil) คืออะไร?

น้ำมันที่สกัดจากเมล็ดโบราจ (Borago officinalis) มีกรดไขมันชนิดแกมมา-ไลโนเลนิก (Gamma-Linolenic Acid: GLA) สูง โดย GLA เป็นกรดไขมันโอเมกา-6 ที่มีบทบาทสำคัญในการลดการอักเสบในร่างกาย โดยงานวิจัยพบว่า GLA สามารถถูกเปลี่ยนเป็นสาร prostaglandin E1 ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการอักเสบตามธรรมชาติ ช่วยลดอาการข้อบวม ปวด และข้อฝืดในผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ได้บางส่วน

น้ำมันงา (Sesame Oil) คืออะไร?

น้ำมันงาสกัดจากเมล็ดงา (Sesamum indicum) อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด เช่น เซซามิน (Sesamin) เซซาโมลิน (Sesamolin) และวิตามิน E น้ำมันงามีคุณสมบัติทั้งต้านการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ และช่วยลดการเสื่อมสลายของกระดูกอ่อนในข้อ เซซามินได้รับการศึกษาว่าสามารถยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่ทำลายกระดูกอ่อน และลดการหลั่งสารก่อการอักเสบ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเสื่อมของข้อ

งานวิจัยที่สนับสนุน

น้ำมันโบราจ: มีการศึกษาในผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ที่ได้รับ GLA จากน้ำมันโบราจ (1.4 กรัม/วัน) นาน 24 สัปดาห์ พบว่าอาการปวดและข้อบวมลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก [1].

น้ำมันงา: มีการศึกษาในมนุษย์จำนวน 50 คน พบว่าการรับประทานน้ำมันงา 40 กรัม/วัน เป็นเวลา 60 วัน ช่วยลดอาการปวดข้อและเพิ่มการทำงานของข้อในผู้ป่วยโรคข้อเสื่อมได้อย่างมีนัยสำคัญ [3].

นอกจากนี้ meta-analysis ในปี 2025 ยังแสดงให้เห็นว่า น้ำมันงาช่วยลดระดับสารอักเสบในร่างกายที่บ่งชี้ถึงการอักเสบเรื้อรัง [4].

เปรียบเทียบน้ำมันโบราจและน้ำมันงา

ทั้งน้ำมันโบราจและน้ำมันงาต่างมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ แต่กลไกการทำงานต่างกัน

  • น้ำมันโบราจ เด่นที่การเพิ่มการสร้าง prostaglandin E1 เพื่อลดการอักเสบ
  • น้ำมันงา เน้นการต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องกระดูกอ่อน และลดสารอักเสบในระดับเซลล์

ดังนั้น การเลือกใช้อาจขึ้นอยู่กับลักษณะของปัญหาข้อ เช่น ถ้าเน้นลดการอักเสบเฉียบพลัน น้ำมันโบราจอาจเหมาะกว่า แต่หากเน้นป้องกันการเสื่อมของข้อในระยะยาว น้ำมันงาอาจเป็นตัวเลือกที่ดี หรือเลือกทานทั้งคู่เลยก็ได้

สรุป: น้ำมันโบราจและน้ำมันงา ช่วยข้อได้จริงหรือ?

จากข้อมูลปัจจุบัน น้ำมันโบราจและน้ำมันงามีข้อมูลสนับสนุนว่าสามารถช่วยลดการอักเสบและส่งเสริมสุขภาพข้อได้ในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ควรใช้เป็นการเสริมการรักษา และควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ พร้อมได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเสมอ

หากต้องเลือกเสริมสุขภาพข้อด้วยธรรมชาติ คุณจะเลือกน้ำมันโบราจ น้ำมันงา หรือทั้งสองอย่าง?


สาระเพิ่มเติม: น้ำมันโบราจกับสุขภาพในหญิงวัยทอง

น้ำมันโบราจได้รับความสนใจอย่างมากในกลุ่มหญิงวัยทอง (Menopausal women) เนื่องจากมีฤทธิ์ลดอาการร้อนวูบวาบ (hot flashes) และอาการไม่สบายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน โดย GLA ในน้ำมันโบราจช่วยปรับสมดุลการสร้าง prostaglandin ซึ่งเกี่ยวข้องกับการควบคุมอุณหภูมิร่างกายและอารมณ์ นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า GLA อาจช่วยลดอาการผิวแห้งและเพิ่มความยืดหยุ่นของผิวที่มักเกิดในช่วงวัยทองได้อีกด้วย [5].

งานวิจัยบางฉบับระบุว่าการเสริม GLA วันละประมาณ 320-480 มิลลิกรัม อาจช่วยลดความรุนแรงของอาการร้อนวูบวาบได้ โดยไม่พบผลข้างเคียงร้ายแรง [6]. โดยใน Borage oil พบ GLA โดยเฉลี่ย ถึงร้อยละ 25 ซึ่งมากกว่า Evening primrose oil ถึง 3 เท่า

เอกสารอ้างอิง

  1. Zurier RB, Rossetti RG, Jacobson EW, DeMarco DM, Liu NY, Temming JE, et al. Gamma-linolenic acid treatment of rheumatoid arthritis. A randomized, placebo-controlled trial. Arthritis Rheum. 1996;39(11):1808–17.
  2. Namiki M. Nutraceutical functions of sesame: a review. Crit Rev Food Sci Nutr. 2007;47(7):651–73.
  3. Haghighian HK, Haidari F, Mohammadshahi M, Zakerkish M, Mahboob S. Effects of sesame seed supplementation on clinical signs and symptoms in patients with knee osteoarthritis. Int J Rheum Dis. 2015;18(5):524–8.
  1. Behrouz V, Ashrafzadeh S, Cheshmehbonari Z, Shab-Bidar S. The effect of sesame consumption on inflammation: A systematic review and meta-analysis. Nutr Metab (Lond). 2025;22:10.
  2. Chenoy R, Hussain S, Tayob Y, O’Dowd T, Morris R. Effect of Gamolenic acid from evening primrose oil on menopausal flushing. BMJ. 1994;308(6934):501–3.
  3. Horrobin DF. Gamma-linolenic acid: An intermediate in essential fatty acid metabolism with potential as an ethical pharmaceutical and as a food. Rev Contemp Pharmacother. 1990;1(1):1–45.