การดูแลผิวในวัยทำงาน ( 25-40 ปี ) ถือเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะในช่วงวัยนี้ผิวของเราจะมีการเปลี่ยนแปลงหลายประการ แม้ว่าจะมีข้อดีบางอย่างที่ทำให้ปัญหาผิวบางประการลดลง แต่ก็ยังมีข้อเสียที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ ในบทความนี้เราจะสรุปเทคนิคการเลือกสกินแคร์ที่เหมาะสมสำหรับวัยทำงาน เพื่อให้ผิวของคุณดูสดใสและสุขภาพดี
ธรรมชาติของผิวในวัยทำงาน
ก่อนที่จะเลือกซื้อสกินแคร์เรามาดูธรรมชาติของผิววัยทำงานกันก่อนดีกว่า ว่ามีข้อดีข้อเสียอะไรบ้าง
ข้อดี
1. ผิวผลิตน้ำมันลดลง: ผิวไม่มันเยิ้มและควบคุมความมันได้ดียิ่งขึ้น
2. สิวน้อยลง: ปัญหาสิวที่เคยเป็นบ่อยในวัยรุ่นจะลดน้อยลง
ข้อเสีย
1. ผิวผลัดเซลล์ผิวช้า: ทำให้ผิวดูหมองคล้ำและไม่สดใส เกิดจุดด่างดำและริ้วรอย
2. ความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นของผิวลดลง: ทำให้ผิวแห้งไม่ชุ่มชื้นและเกิดริ้วรอยได้ง่ายขึ้น
3. เกราะป้องกันผิวลดลง: ทำให้ผิวแพ้ง่ายและไวต่อสภาพแวดล้อม
4. เกิดฝ้ารอยดำ: ทำให้ผิวดูไม่สม่ำเสมอและมีจุดด่างดำ
เทคนิคการเลือกสกินแคร์สำหรับวัยทำงาน
เมื่อทราบถึงธรรมชาติของผิวแล้ว การเลือกสกินแคร์เพื่อฟื้นฟูสิ่งที่ผิวขาดหายไป ก็จะช่วยบำรุงผิวและลดปัญหาผิวในวัยนี้ได้ โดยมีเทคนิคการเลือก ดังนี้
1. เลือกผลิตภัณฑ์ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว
ควรผลัดเซลล์ผิวเพียงสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งเนื่องจากการผลัดเซลล์ผิวเป็นประจำจะทำให้ผิวระคายเคือง อักเสบได้ โดยสารที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว มีหลายประเภทและแต่ละประเภทมีวิธีการทำงานที่แตกต่างกันเล็กน้อย
1.1 กรดอัลฟาไฮดรอกซี (Alpha Hydroxy Acids, AHAs)
กรดเหล่านี้เป็นสารสกัดจากผลไม้และนม ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกที่เสื่อมสภาพออกไป ทำให้ผิวดูสดใสและเรียบเนียนขึ้น
กรดไกลโคลิก (Glycolic Acid): สกัดจากอ้อย ช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวและเพิ่มความชุ่มชื้น
กรดแลคติก (Lactic Acid): สกัดจากนม มีคุณสมบัติช่วยผลัดเซลล์ผิวและให้ความชุ่มชื้น
1.2 กรดเบต้าไฮดรอกซี (Beta Hydroxy Acids, BHAs)
กรดเหล่านี้ละลายในน้ำมัน ทำให้สามารถซึมเข้าสู่รูขุมขนได้ดี ช่วยในการทำความสะอาดรูขุมขนและลดการอุดตัน
กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid): นิยมใช้ในผลิตภัณฑ์รักษาสิว ช่วยผลัดเซลล์ผิวและลดการอักเสบ
1.3 เรตินอล (Retinol)
เป็นอนุพันธ์ของวิตามิน A ช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวและเสริมสร้างการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ลดเลือนริ้วรอยและจุดด่างดำ
2. เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว
เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดไฮยาลูโรนิค, กลีเซอรีน หรือสารสกัดจากธรรมชาติที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นให้กับผิว โดยควรใช้เป็นประจำทุกวัน
2.1 ไฮยาลูโรนิคแอซิด (Hyaluronic Acid)
เป็นสารที่มีความสามารถในการรักษาความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นของผิว ช่วยให้ผิวดูอิ่มน้ำและชุ่มชื้นมากขึ้น
2.2 ไกลเซอรีน (Glycerin)
เป็นสารที่ช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้ผิว มีความสามารถในการดึงน้ำมายังผิว ช่วยล็อคความชุ่มชื้นในผิว
2.3 เซราไมด์ (Ceramides)
เป็นสารประกอบที่สำคัญในการสร้างเส้นเซลล์ผิวและรักษาสภาพผิว เมื่อผิวขาดเซราไมด์ จะทำให้ผิวแห้ง การใช้เซราไมด์ช่วยป้องกันการสูญเสียความชุ่มชื้นของผิว
3. เสริมสร้างเกราะป้องกันผิว
เลือกสารที่เสริมสร้างเกราะป้องกันผิว ปลอบประโลมผิว ลดการระคายเคืองและลดอาการอักเสบของผิว โดยควรใช้เป็นประจำทุกวัน
3.1 Panthenol หรือ Dexpanthenol
เมื่อถูกนำเข้าสู่ผิวหนัง จะถูกแปลงเป็นกรดพันโทเทนิค และมีความสามารถในการช่วยบำรุงและฟื้นฟูผิวหนัง ช่วยเสริมความชุ่มชื้นให้ผิว ลดการอักเสบ และสามารถช่วยลดการระคายเคืองให้กับผิวได้ดี
3.2 โปรไบโอติกส์ (Probiotics)
เป็นจุลินทรีย์ที่ช่วยเสริมความแข็งแรงของผิว โดยปรับสมดุลของจุรินทรีย์บนผิวหนัง ช่วยป้องกันจุรินทรีย์จากภายนอกรวมไปถึงป้องกันอาการแพ้ระคายเคืองต่างๆ
3.3 สารสกัดจากธรรมชาติ
เช่น สารสกัดจากเบรอคโคลี, สารสกัดจากเก๊ตเทียบาลาและสารสกัดจากอโลเวร่า เป็นต้น ช่วยลดอาการระคายเคือง คอยปลอบประโลมผิว
4. ป้องกันและลดรอยดำ
การป้องกันและลดรอยดำควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่สามารถลดกระบวนการสร้างเม็ดสีได้ครบ 3 ขั้นตอน คือ 1. การผลิตเม็ดสีเมลาโทนิน 2. การขนส่งเม็ดสีเมลาโทนินขึ้นสู่ผิว 3. การลดการสะสมของเม็ดสีเมลาโทนิน หากสามารถป้องกันกระบวนการเหล่านี้ได้รอยดำก็จะจางลง โดยจะมีประสิทธิภาพดีมากเมื่อใช้ร่วมกับครีมกันแดด
4.1 Vitamin C
ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระลดการผลิตเม็ดสีเมลาโทนิน จึงช่วยลดการเกิดรอยดำและช่วยให้ผิวหนังดูกระจ่างใส นอกจากนี้ยังมี Kojic acid, Licorice, Arbutin และ Resorcinol ที่ลดการสร้างการผลิตเม็ดสีเมลาโทนินได้
4.2 Niacinamide หรือ Vitamin B3
ลดการขนส่งเม็ดสีเมลานินขึ้นไปที่ผิวชั้นบน ลดกระบวนการขนส่งเม็ดสีจึงลดรอยดำบนผิว ช่วยให้ผิวดูสม่ำเสมอและกระจ่างใสขึ้นได้
4.3 สารช่วยผลัดเซลล์ผิวในหัวข้อ 1.
ลดการสะสมของเม็ดสีเมลาโทนินที่ผิวชั้นบน เม็ดสีเมลาโทนินถูกผลัดออกอย่างสม่ำเสมอ ลดความเข้มของรอยดำทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้น
5. ปกป้องผิวจากแสงแดด
การใช้ครีมกันแดดเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในทุกช่วงวัย เนื่องจากริ้วรอยและรอยดำมากกว่า 80% เกิดจากแสงแดด โดยเลือกครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพดี โดยเลือกจากค่า SPF และค่า PA
1. ค่า SPF
หมายถึง “Sun Protection Factor” บ่งบอกถึงความสามารถในการปกป้องผิวหนังจากการเผาผลาญที่เกิดจากแสง UVB ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแสงแดดที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคผิวหนัง เช่น การก่อให้เกิดรอยแดง การเสียหายจากแสงแดดที่ยากจะเห็นได้ เป็นต้น โดย
SPF 30: ป้องกันได้ประมาณ 97% ของแสง UVB
SPF 50: ป้องกันได้ประมาณ 98% ของแสง UVB
2. ค่า PA
หมายถึง “Protection grade of UVA” คือ ระดับการป้องกันจากรังสี UVA ซึ่งเป็นส่วนของแสงแดดที่ผ่านผิวหนังชั้นลึกและสามารถทำให้เกิดผลเสียกับผิวได้ในระยะยาว เช่น การเกิดริ้วรอย ผิวแห้ง และสิว โดยไล่ระดับไปตั้งแต่ PA+ ถึง PA++++
PA + คือ ความสามารถในการปกป้องผิวจาก UVA ได้มากกว่าผิวปกติ 2-4 เท่า
PA ++ คือ ความสามารถในการปกป้องผิวจาก UVA ได้มากกว่าผิวปกติ 4-8 เท่า
PA +++ คือ ความสามารถในการปกป้องผิวจาก UVA ได้มากกว่าผิวปกติ 8-16 เท่า
PA ++++ คือ ความสามารถในการปกป้องผิวจาก UVA ได้มากกว่าผิวปกติ มากกว่า 16 เท่า
6. บำรุงด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ
การรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ จะช่วยปกป้องผิวจากการถูกทำลายโดยมลภาวะและแสงแดด ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์และสดใส เช่น วิตามิน ซี, วิตามิน อี, astaxanthin, สารสกัดจากชาเขียวและสารสกัดจากถั่วเหลืองเป็นต้น
การเลือกสกินแคร์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวในวัยทำงานจะช่วยให้คุณมีผิวที่ดูสุขภาพดีและสดใสอย่างยาวนาน หวังว่าเทคนิคเหล่านี้จะเป็นประโยชน์และช่วยให้คุณเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับตัวเองมากขึ้น!