Skip to content

MDA สารพิษที่เกิดจากการเสื่อมสลายของน้ำมันปลา

Malondialdehyde (MDA) ในผลิตภัณฑ์อาหารเสริมน้ำมันปลาเกิดจาก กระบวนการออกซิเดชันของไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (PUFAs; Polyunsaturated Fatty Acids) ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของน้ำมันปลา โดยเฉพาะกรดไขมันโอเมก้า-3 เช่น EPA (Eicosapentaenoic acid) และ DHA (Docosahexaenoic acid) เมื่อสัมผัสกับออกซิเจน แสง หรือความร้อน จะเกิด lipid peroxidation ทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระ และผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้ายของกระบวนการนี้คือ MDA ซึ่งใช้เป็น ตัวชี้วัดระดับการเกิดออกซิเดชันของไขมัน ในผลิตภัณฑ์น้ำมันปลา


การเพิ่มของ MDA ใน Fish oil เกิดจากกระบวนการ ออกซิเดชันของกรดไขมันในน้ำมันปลา ซึ่งเกิดขึ้นได้หลายปัจจัย ดังนี้

1. การสัมผัสกับออกซิเจน (Oxygen Exposure)

น้ำมันปลามี กรดไขมันไม่อิ่มตัว (Unsaturated Fatty Acids) ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของการออกซิเดชัน โดยเมื่อสัมผัสกับออกซิเจน มันจะทำปฏิกิริยากับ อนุมูลอิสระ (Reactive Oxygen Species; ROS) ในการทำลายโครงสร้างของกรดไขมัน ทำให้เกิดการ peroxidation ของกรดไขมันในน้ำมันปลา

  • กรดไขมันโอเมก้า-3 เช่น EPA และ DHA มีโครงสร้างที่ไม่เสถียร ทำให้มันไวต่อการออกซิเดชันโดยเฉพาะในสภาวะแสงและอุณหภูมิสูง
2. การเก็บรักษาไม่ถูกวิธี

น้ำมันปลาหากถูกเก็บรักษาในสภาพที่ไม่เหมาะสม เช่น

  • การเก็บในที่ร้อน หรือแสงแดด
  • การเปิดขวดบ่อยๆ หรือ การเก็บในภาชนะที่ไม่ปิดสนิท
    จะทำให้ ออกซิเจนและแสงสามารถเข้าไปสัมผัสน้ำมันปลา ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดกระบวนการออกซิเดชันของกรดไขมัน และการเกิด MDA เพิ่มขึ้น
3. การเสริมสารเติมแต่ง (Additives) ที่ไม่เหมาะสม

บางผลิตภัณฑ์น้ำมันปลาอาจเสริมสารกันเสีย เช่น BHA (Butylated Hydroxyanisole) หรือ BHT (Butylated Hydroxytoluene) ซึ่งถูกใช้เพื่อลดการเกิดออกซิเดชันของไขมัน อย่างไรก็ตาม มีรายงานเกี่ยวกับผลข้างเคียงต่อสุขภาพของสารเหล่านี้ในระยะยาว

4. การผลิตน้ำมันปลาในกระบวนการที่ไม่เหมาะสม

น้ำมันปลาที่ผลิตในกระบวนการ การสกัดที่มีความร้อนสูง หรือ การกลั่นที่ไม่เหมาะสมอาจส่งผลให้เกิด การออกซิเดชันของกรดไขมัน และการสะสมของสาร MDA

Malondialdehyde (MDA) มีผลเสียต่อร่างกายอย่างไร ?

MDA เป็น ผลิตภัณฑ์สุดท้ายของกระบวนการออกซิเดชันของไขมันซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาของอนุมูลอิสระกับกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (PUFAs) ในเยื่อหุ้มเซลล์ MDA ถือเป็น biomarker ของ Oxidative Stress และหากมีระดับสูงอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพในหลายด้าน

1. เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด

MDA เป็นตัวบ่งชี้สำคัญของ การเกิดออกซิเดชันของ LDL ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักของ โรคหัวใจและหลอดเลือด

  • MDA สามารถ กระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มกันและทำให้เกิดการอักเสบของผนังหลอดเลือด
  • เพิ่มการสะสมของคราบไขมัน ทำให้หลอดเลือดแข็งตัว และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด
2. ก่อให้เกิดความเสียหายต่อ DNA และเพิ่มความเสี่ยงมะเร็ง

MDA เป็นสารที่มี ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์และก่อมะเร็ง

  • MDA สามารถทำปฏิกิริยากับ DNA และโปรตีนในเซลล์ที่อาจนำไปสู่การเกิดมะเร็ง
  • มีงานวิจัยพบว่า ผู้ป่วยมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด และมะเร็งลำไส้ใหญ่ มีระดับ MDA สูงกว่าคนปกติ ซึ่งบ่งชี้ว่า Oxidative Stress อาจมีบทบาทสำคัญในการก่อมะเร็ง
3. เร่งกระบวนการชรา (Aging) และลดการทำงานของสมอง

MDA เป็นตัวบ่งชี้ของความเสียหายจากอนุมูลอิสระ ซึ่งเกี่ยวข้องกับ การเสื่อมของเซลล์ประสาทและการเสื่อมของสมองตามอายุ

  • มีการศึกษาพบว่า MDA ในสมองสูงขึ้นในผู้ป่วยอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s Disease) และพาร์กินสัน (Parkinson’s Disease) ซึ่งสัมพันธ์กับการทำงานของสมองที่ลดล
  • MDA สามารถ ทำลายโครงสร้างของโปรตีนในเซลล์ประสาท (Neuronal Protein Carbonylation) และรบกวนการส่งสัญญาณของเซลล์สมอง ส่งผลให้เกิดปัญหาด้านความจำและการเรียนรู้
4. เพิ่มการอักเสบในร่างกาย

MDA เป็นโมเลกุลที่สามารถกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน และเพิ่มการสร้างสารอักเสบ เช่น

  • Tumor Necrosis Factor-alpha (TNF-α)
  • Interleukin-6 (IL-6)
  • C-reactive protein (CRP)
5. มีผลเสียต่อระบบสืบพันธุ์

MDA อาจเกี่ยวข้องกับปัญหาภาวะมีบุตรยากในทั้งชายและหญิง

  • ใน เพศชาย: ระดับ MDA สูงสัมพันธ์กับการลดลงของคุณภาพอสุจิและการเสื่อมของ DNA ในอสุจิ (Sperm DNA Fragmentation)
  • ใน เพศหญิง: oxidative stress ที่สูงขึ้นและระดับ MDA ที่เพิ่มขึ้นอาจส่งผลต่อภาวะรังไข่เสื่อม (Ovarian Dysfunction) และลดโอกาสการฝังตัวของตัวอ่อน
แล้วเราจะได้อะไรจากน้ำมันปลาที่มีคุณภาพ ?

ในทางตรงกันข้ามน้ำมันปลา (Fish oil) ที่มีคุณภาพสามารถลดระดับ Malondialdehyde (MDA) ในคนได้ผ่านหลายกลไกที่เกี่ยวข้องกับการลดความเครียดออกซิเดชัน (oxidative stress) และการลดกระบวนการ lipid peroxidation ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเกิด MDA โดยมีกลไกหลักดังนี้

1. เพิ่มระบบต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย

น้ำมันปลามีกรดไขมันโอเมก้า-3 โดยเฉพาะ EPA (Eicosapentaenoic acid) และ DHA (Docosahexaenoic acid) ซึ่งสามารถ เพิ่มการทำงานของเอนไซม์ต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่

  • Superoxide dismutase (SOD) – กำจัดอนุมูลอิสระซุปเปอร์ออกไซด์
  • Glutathione peroxidase (GPx) – ช่วยกำจัดไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์
  • Catalase (CAT) – ลดการสะสมของเปอร์ออกไซด์ที่สามารถกระตุ้น lipid peroxidation

จากการศึกษาพบว่า การเสริมโอเมก้า-3 ในคนสามารถเพิ่มระดับของ SOD และ GPx ได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งช่วยลดการเกิด MDA ในเลือด

2. ลดกระบวนการ Lipid Peroxidation ในเยื่อหุ้มเซลล์และพลาสมา

MDA เป็นผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้ายของ lipid peroxidation ซึ่งเกิดจาก การทำปฏิกิริยาของอนุมูลอิสระกับไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (PUFAs) ในเยื่อหุ้มเซลล์

  • น้ำมันปลาสามารถ ลดการเกิด lipid peroxidation ได้โดยการเปลี่ยนองค์ประกอบของไขมันในเยื่อหุ้มเซลล์ ทำให้เกิดการสร้างสารต้านอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น
  • มีงานวิจัยพบว่า หลังจากบริโภคน้ำมันปลาเป็นเวลา 12 สัปดาห์ ระดับ MDA ในพลาสมาลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีภาวะเครียดออกซิเดชันสูง เช่น ผู้ป่วยเบาหวานหรือโรคหัวใจ
3. ลดการอักเสบ ลดการผลิตอนุมูลอิสระ

EPA และ DHA ใน fish oil สามารถ ลดการสร้างไซโตไคน์อักเสบ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเกิดอนุมูลอิสระ เช่น

  • Tumor necrosis factor-alpha (TNF-α)
  • Interleukin-6 (IL-6)
  • Prostaglandin E2 (PGE2) และ Leukotriene B4 (LTB4)

การลดลงของสารอักเสบเหล่านี้ช่วยให้เกิด ROS (Reactive Oxygen Species) น้อยลง ทำให้ lipid peroxidation ลดลง และ MDA ลดลงตามไปด้วย

4. เพิ่มระดับสารต้านอนุมูลอิสระในเลือด

โอเมก้า-3 ในน้ำมันปลาสามารถ เพิ่มระดับของวิตามินอี (Alpha-tocopherol) และโคเอนไซม์ Q10 ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันการเกิด MDA ในร่างกายได้ดีขึ้น

การศึกษาในมนุษย์

  • งานวิจัยหนึ่งในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 พบว่า หลังจากบริโภคน้ำมันปลา 2 กรัม/วัน เป็นเวลา 8 สัปดาห์ ระดับ MDA ในเลือดลดลงอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมกับการเพิ่มขึ้นของเอนไซม์ต้านอนุมูลอิสระ
  • การศึกษาในผู้ที่มีน้ำหนักเกินแสดงให้เห็นว่า การบริโภค Fish oil 4 กรัม/วัน เป็นเวลา 12 สัปดาห์ ลดระดับ MDA ลงได้มากกว่ากลุ่มควบคุม

เอกสารอ้างอิง

  1. Saini RK, Keum YS. Omega-3 fatty acids and their oxidative stability in foods: A review. Food Res Int. 2019;116:405-415. doi:10.1016/j.foodres.2018.09.034.
  2. Venugopal M, Suresh B, Anjana M. The effect of storage conditions on the stability of fish oils: A review. Food Chem. 2018;240:344-352. doi:10.1016/j.foodchem.2017.08.001.
  3. Tanaka T, Tanaka M, Yoshikawa T. Development of preservatives for fish oil and their effects on oxidation in fish oil. Fish Sci. 2007;73(4):831-837. doi:10.1111/j.1444-2906.2007.01437.x.
  4. Usta J, Yediler A, Rizzo L, et al. The role of refining and temperature in oxidative stability of fish oil. Eur J Lipid Sci Technol. 2006;108(2):118-123. doi:10.1002/ejlt.200500205.
  5. Wang X, Yang Z, Xue J, et al. Malondialdehyde level and risk of cardiovascular disease: A systematic review and dose-response meta-analysis. Front Cardiovasc Med. 2022;9:857250. doi:10.3389/fcvm.2022.857250.
  6. Nair V, O’Neil CL, Wang PG. Malondialdehyde in biological systems: Occurrence and physiological effects. Toxicol Mech Methods. 2008;18(4):275-278. doi:10.1080/15376510701857723.
  7. Li J, Huang J, Li JS, et al. Elevated levels of malondialdehyde in the serum of patients with various types of cancers: A meta-analysis. PLoS One. 2014;9(12):e113483. doi:10.1371/journal.pone.0113483.
  8. Zarkovic N. 4-Hydroxynonenal and neurodegenerative diseases. Mol Aspects Med. 2003;24(4-5):293-303. doi:10.1016/S0098-2997(03)00023-4.
  9. Butterfield DA, Koppal T, Howard B, et al. Structural and functional changes in proteins induced by free radical-mediated oxidative stress and protective action of the antioxidants N-tert-butyl-alpha-phenylnitrone and vitamin E. Ann N Y Acad Sci. 1998;854:448-462. doi:10.1111/j.1749-6632.1998.tb09915.x.
  10. Alamdari DH, Paletas K, Pegiou T, et al. A novel biomarker of oxidative stress in humans: Serum hydroperoxide derivative levels. Clin Biochem. 2007;40(1-2):152-158. doi:10.1016/j.clinbiochem.2006.09.010.
  11. Agarwal A, Virk G, Ong C, et al. Effect of oxidative stress on male reproduction. World J Mens Health. 2014;32(1):1-17. doi:10.5534/wjmh.2014.32.1.1.
  12. Agarwal A, Aponte-Mellado A, Premkumar BJ, et al. The effects of oxidative stress on female reproduction: A review. Reprod Biol Endocrinol. 2012;10:49. doi:10.1186/
  13. Kouchaki E, Afarideh M, Esmaillzadeh A, et al. Effects of omega-3 fatty acid supplementation on oxidative stress markers in patients with multiple sclerosis: A randomized, double-blind, placebo-controlled trial. Int J Neurosci. 2018;128(7):608-616. doi:10.1080/00207454.2017.1418011.
  14. Jump DB, Depner CM, Tripathy S. Omega-3 fatty acid supplementation and cardiovascular disease. J Lipid Res. 2012 Dec;53(12):2525-2545. doi:10.1194/jlr.R028506.
  15. Mohammadi H, Eghtesadi S, Shidfar F, et al. The effect of omega-3 fatty acid supplementation on oxidative stress markers in patients with type 2 diabetes: A randomized, double-blind, placebo-controlled trial. J Diabetes Metab Disord. 2015;14:76. doi:10.1186/s40200-015-0203-5.
  16. Calder PC. Omega-3 fatty acids and inflammatory processes. Nutrients. 2010 Mar;2(3):355-374. doi:10.3390/nu2030355.
  17. Song JH, Miyazawa T, Tokuda Y, et al. Effect of dietary fish oil on lipid peroxidation and learning ability in OXYS rats, a model of senescence-accelerated brain aging. Prostaglandins Leukot Essent Fatty Acids. 2010 Apr;82(4-6):141-150. doi:10.1016/j.plefa.2010.02.001.
  18. Rahbar AR, Shahi MM, Shirmohammadi M, et al. Effects of omega-3 fatty acids on oxidative stress in patients with type 2 diabetes mellitus. Int J Vitam Nutr Res. 2011;81(5):291-298. doi:10.1024/0300-9831/a000081.
  19. Poudyal H, Panchal SK, Diwan V, et al. Omega-3 fatty acids and metabolic syndrome: Effects and emerging mechanisms of action. Prog Lipid Res. 2011 Oct;50(4):372-387. doi:10.1016/j.plipres.2011.06.003.