Skip to content

MCT Oil หรือชื่อเต็มคือ Medium Chain Triglyceride เป็นกรดไขมันอิ่มตัวสายกลาง หรือ Medium-chain fatty acids (MCFA) ซึ่งเป็นกรดไขมันชนิดดีต่อสุขภาพไม่สะสมเป็นไขมันส่วนเกินในร่างกาย สามารถพบได้ในน้ำมันพืช เช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม

MCT Oil เป็นกรดไขมันอิ่มตัวสายกลางที่มีจำนวนคาร์บอนสายโซ่ประมาณ 6-12 อะตอม ซึ่งมีความยาวน้อยกว่ากรดไขมันทั่วไป โดยความยาวที่น้อยกว่านี้ทำให้ MCT Oil มีความสามารถในการดูดซึมและย่อยได้รวดเร็วกว่า สามารถถูกนำไปใช้เป็นพลังงานในร่างกายได้ทันที ไม่เกิดการสะสม ดังนั้นในผลิตภัณฑ์ MCT Oil ที่วางขายกันจะมีตัวเลขสัญลักษณ์ระบุอยู่กับสินค้า ซึ่งเป็นตัวบอกชนิดของ MCT Oil ว่าเป็นน้ำมันที่มีกรดชนิดไหนอยู่ตามลักษณะจำนวนอะตอมของคาร์บอนที่พบในไขมันชนิดนี้

จำนวนอะตอมของคาร์บอนในกรดไขมันจะเป็นตัวกำหนดความสามารถในการพาเข้าสู่ร่างกายในกระบวนการสร้างพลังงาน ซึ่งยิ่งจำนวนสายโซ่สั้นเท่าไหร่ ก็จะมีความสามารถในการย่อยเพื่อสร้างพลังงานได้เร็วขึ้นเท่านั้น เนื่องจากความยาวสายโซ่ในน้ำมัน MCT Oil มีความยาวสั้นกว่ากรดไขมันอื่น จึงเป็นแหล่งในการสร้างพลังงานจากไขมันที่ร่างกายเราเลือกใช้ โดยในทั่วไปกรดไขมันที่เราพบใน MCT Oil จะมีอยู่ 4 ชนิดตามจำนวนคาร์บอนคือ C6, C8, C10, C12 ตามลำดับ

กรดลอริก (Lauric acid)

C12 หรือ กรดลอริก (Lauric acid) เป็นกรดไขมันชนิดอิ่มตัวที่มีจำนวนคาร์บอน 12 อะตอม มีลักษณะเหมือน LCT (Long Chain Triglyceride) คือ มีความสามารถในการย่อย และดูดซึมที่ช้า จึงไม่ค่อยเห็นกรดลอริกในผลิตภัณฑ์ที่ขายหรือในน้ำมัน MCT Oil

 กรดคาพริก(Capric acid)

C10 หรือ กรดคาพริก (Capric acid) เป็นกรดไขมันชนิดอิ่มตัวที่มีจำนวนคาร์บอน 10 อะตอม กรดคาพริกเป็นกรดไขมันอิ่มตัวที่มีรูปแบบที่สั้นที่สุดอันดับสอง จึงใช้เวลาในการเปลี่ยนคีโตนนานขึ้นกว่ากรดไขมันชนิดอื่นก่อนหน้านี้เล็กน้อย

 กรดคาไพรลิก (Caprylic acid)

C8 หรือ กรดคาไพรลิก (Caprylic acid) เป็นกรดไขมันชนิดอิ่มตัวที่มีจำนวนคาร์บอน 8 อะตอม ซึ่งเป็นตัวที่สามารถพบเห็นได้บ่อย อีกทั้งยังเป็น MCT Oil ที่ดีที่สุดในการทำหน้าที่ผลิตคีโตน และช่วยเร่งการเผาผลาญ สำหรับผู้ที่รับประทานคีโตหรือลดน้ำหนัก

 กรดคาโพรอิก

กรดคาโพรอิก (Caproic acid)

C6 หรือ กรดคาโพรอิก (Caproic acid) เป็นกรดไขมันอิ่มตัวที่มีจำนวนคาร์บอน 6 อะตอม ซึ่งเป็นกรดที่มีจำนวนน้อยที่สุดเพียง 1% จึงไม่ค่อยมีความสำคัญในการช่วยลดน้ำหนัก มีกลิ่น และรสชาติที่ไม่ค่อยพึงประสงค์

ประโยชน์ของMCT Oil

ช่วยให้อิ่มไว

MCT Oil มีผลต่อการควบคุมฮอร์โมน ลดฮอร์โมนความหิว และเพิ่มอัตราการหลังฮอร์โมน Peptide YY และฮอร์โมนเลปติน (Leptin) ที่เป็นฮอร์โมนช่วยควบคุมความรู้สึกหิวในร่างกาย จึงส่งผลให้เมื่อเรารับประทานอาหารจึงมีอาการอิ่ม และรับประทานได้น้อยลง ทำให้อิ่มนานขึ้น

ช่วยเร่งกระบวนการคีโตซิสให้เร็วยิ่งขึ้น

เนื่องจากใน MCT Oil จะมีกรดสำคัญที่ชื่อ กรดคาไพรลิก ซึ่งกรดคาไพรลิกจะทำหน้าที่เป็นตัวเร่งพลังงาน และเป็นกรดไขมันสายที่สั้นที่สุด ทำให้กลายเป็นคีโตน ให้ร่างกายนำไปใช้เป็นพลังงานได้ทันที

 สามารถนำไปใช้เป็นพลังงานได้ทันที ไม่สะสมเป็นไขมันส่วนเกิน

หนึ่งในประโยชน์ของ MCT Oil เมื่อเทียบกับกรดไขมันชนิดอื่น ๆ รวมถึงน้ำมันมะพร้าวคือ MCT Oil สามารถถูกดูดซึมเข้าสู่ตับของเราได้โดยตรง โดยไม่ต้องพึ่งน้ำดีในการย่อยก่อนเพราะมีขนาดเล็กทำให้ดูดซึมได้ง่าย ร่างกายจึงสามารถนำไขมันนี้ไปใช้เป็นพลังงานได้อย่างรวดเร็ว และไม่สะสมทำให้เกิดไขมันส่วนเกิน สามารถลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี และช่วยเพิ่มคอเลสเตอรอลที่ดี ซึ่งส่งผลต่อการช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหรือโรคหัวใจได้

 ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและยีสต์

MCT Oil จะมีกรดสำคัญที่ชื่อ กรดคาพริก ซึ่งมีความสามารถในการยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย และยีสต์ เช่น เชื้อราที่ทำให้เกิดโรคตามผิวหนังต่าง ๆ จากการทดลองในสัตว์ แต่การทดลองในคนนั้นยังไม่มีการศึกษาที่แน่ชัด

ขนาดการรับประทานที่แนะนำ

ปริมาณที่แนะนำในการกิน MCT Oil ต่อวันคือการรับประทานทีละน้อย โดยเริ่มจากครั้งละ 1 ช้อนช้า และเพิ่มไปจนถึงครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ โดยผสมกับชาหรือเครื่องดื่มอื่น การเริ่มรับประทานทาน MCT Oil ในช่วงแรกปริมาณน้อย เนื่องจาก MCT Oil อาจมีฤทธิ์ทำให้ถ่ายท้องในบางรายได้  และไม่ควรรับประทาน MCT Oil เกินวันละ 2 ช้อนโต๊ะ เนื่องจากหากรับประทานมากเกินไปอาจจะส่งผลข้างเคียงได้ โดยพบว่า การรับประทาน MCT Oil วันละ 6 กรัม อาจจะทำให้ฮอร์โมนที่ทำให้รู้สึกหิวหรือ ฮอร์โมนเกรลิน (Ghrelin Hormone) มีความผิดปกติไปอาจจะไปกระตุ้นทำให้รู้สึกหิวมากกว่าเดิม

ควรรับประทาน MCT Oil ตอนที่ท้องว่าง หรือรับประทานก่อนอาหาร เพื่อตอนที่ท้องเราว่างร่างกายของเรายังอยู่ในกระบวนการเผาผลาญไขมันเป็นพลังงาน หรือที่เรียกว่า คีโตสิส จึงทำให้ร่างกายมีการดูดซึมได้ดีกว่าหลังรับประทานอาหาร หรือเพื่อให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น แนะนำให้รับประทานก่อนออกกำลังกาย 10-15 นาที เพื่อเพิ่มการเผาผลาญไขมันสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก