Astaxanthin (แอสตาแซนทิน) ราชินีแห่งสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งพบมากในสาหร่ายสีแดง Haematococcus Pluviali ผัก ผลไม้ที่มีสีส้มหรือสีเหลืองเช่นแครอท ฟักทอง และยังพบได้ในสัตว์ทะเลบางชนิดที่กินสาหร่ายสีแดงเป็นอาหารเช่น ปลาแซลมอล มีความแรงมากกว่าวิตามินอี 550 เท่า และมากกว่า beta-carotene 40 เท่า
เป็นสารอาหารในกลุ่ม แคโรทินอยด์ (Caroteniod) ซึ่งเป็นกลุ่มสารต้านอนุมูลอิสระที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้เอง สารอาหารในกลุ่มแคโรทินอยด์ที่เป็นที่นิยมและรู้จักกัน เช่น Beta-carotene, Lutein, Lycopene, Astaxanthin เป็นต้น
ซึ่ง Astaxanthin แตกต่างจาก carotenoid ตัวอื่นๆ เช่น Beta-carotene, Vitamin A ตรงที่ไม่มีฤทธิ์ Pro-Oxidant ซึ่งก็คือเมื่อออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระแล้ว ตัวมันจะไม่ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระใหม่ตามมาอีกนั่นเอง
รูปภาพแสดงให้เห็นว่าแอสตาแซนธินไม่มีฤทธิ์ Pro-Oxidant
จากการศึกษาต่างๆพบว่า Astaxanthin มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง (potent antioxidant effect) และยังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ (anti-inflammatory effect) จึงช่วยปกป้องเยื่อหุ้มเซลล์ในอวัยวะต่างๆของร่างกายไม่ให้โดนทำลายจากอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้อง DNA หรือสารพันธุกรรมในเซลล์จากการถูกทำลายด้วยรังสียูวีได้
ทำไมปลาแซลมอนจึงว่ายทวนน้ำได้ ในฤดูวางไข่?
ในระหว่างฤดูวางไข่ ปลาแซลมอนจะว่ายทวนน้ำขึ้นไปวางไข่ที่ต้นน้ำ ในระหว่างทางต้องเผชิญกับทั้งแสงแดด ความร้อน และ ต้องใช้พลังงานอย่างมากในการว่ายทวนน้ำ ทำให้เกิดอนุมูลอิสระและการอักเสบขึ้นมากมาย ปลาแซลมอนจะกินสาหร่ายสีแดง ชื่อว่า ฮีมาโตคอคคัส พลูวิเอลิส ซึ่งมีสารแอสตาแซนทินเป็นส่วนประกอบ แอสตาแซนทินจะถูกนำไปสะสมไว้ที่กล้ามเนื้อ ทำให้เนื้อปลาแซลมอนมีสีแดง สารแอสตราแซนทีนมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบ ทำให้เมื่อปลาแซลมอนว่ายทวนน้ำเพื่อมาวางไข่ จึงไม่เกิดอาการอักเสบขึ้นนั่นเอง
เสริมเกราะป้องกันให้ผิวด้วย Astaxanthin
แอสตาแซนธิน มีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระที่เกิดจากออกซิเจนซิงเกล็ท (singlet oxygen quenching O2) ซึ่งเป็นอนุมูลอิสระที่ได้จากแสงแดดได้ดีที่สุด จนมีฉายาว่า “King of Singlet Oxygen” ซึ่งมีฤทธิ์ดีกว่าวิตามินซีถึง 6000 เท่า!!
รูปภาพแสดงความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระที่เกิดจากออกซิเจนซิงเกล็ท (Singlet Oxygen Quenching Activity)
Astaxanthin จะพบอยู่ใน บริเวณ phospholipid membrane ซึ่งเป็นส่วนประกอบของชั้นผิวหนัง สามารถดักจับอนุมูลอิสระ ได้ทั้งภายในเซลล์และด้านนอกของ phospholipid membrane ในขณะที่สารต้านอนุมูลอิสระประเภทอื่น เช่น vitamin C จะวางตัวอยู่บริเวณภายนอก phospholipid membrane ส่วน β-carotene จะอยู่ภายในชั้นไขมันของ phospholipid membrane เมื่อศึกษาเปรียบเทียบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่น ๆ พบว่า astaxanthin มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงกว่า vitamin C ถึง 6,000 เท่า และสูงกว่า vitamin E 100 เท่า เมื่อทดสอบด้วยวิธี singlet oxygen quenching และ lipid peroxidation
รูปภาพแสดงให้เห็นถึงตำแหน่งของ Astaxanthin, Vitamin C, Betacarotene ในชั้น phospholipid bilayer
ประโยชน์ของ Astaxanthin
– ผลต่อระบบผิวหนัง
Astaxanthin ช่วยทำให้ collagen fiber กลับฟื้นคืนสภาพภายหลังถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระ ส่งผลทำให้ผิวหนังยืดหยุ่นดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วย ยับยั้งการสร้างเมลาโทนิน และกระบวนการอักเสบที่ชั้น epidermis ได้
– ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบ
พบว่าประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระสูง กว่า เบตาแคโรทีน (β-carotene) ลูทีน (Lutein) ซีแซนธิน (zeaxanthin) และแคนธาแซนธิน (Canthaxantin) ประมาณ 10 เท่า และมีประสิทธิภาพ สูงกว่า วิตามินอี (α-tocopherol) ประมาณ 500 เท่า
– ผลต่อระบบกล้ามเนื้อ
Astaxanthin ช่วยเสริมกระบวนการเมแทบอลิซึมของกล้ามเนื้อ และเพิ่มการแพร่ของ lactic acid ในกล้ามเนื้อ จึงช่วยลดภาวะกล้ามเนื้อมล้า ช่วยลดการสร้าง lactic acid เพิ่มกระบวนการเมแทบอลิซึมของไขมันแทนน้ำตาลในระหว่างการออกกำลังกาย ทำให้เพิ่มความทนทานในการออกกำลังกายมากขึ้น
– เสริมฤทธิ์ภูมิต้านทาน
จากการศึกษาในหลอดทดลองของ Astaxanthin พบว่ามีส่วนช่วยในการเสริมภูมิต้านทาน เนื่องจากไปเพิ่มจำนวนและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเม็ดเลือดขาวหลายชนิด เช่น ช่วยเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดขาว lymphocyte , เพิ่มการผลิต IgG และ IgM, กระตุ้นเซลล์ natural killer (NK) ให้ผลิต interferon-γ (IFN-γ) ซึ่งช่วยกระตุ้นการทำงานของ macrophage, NK cell และ B-cell เป็นต้น
– ฤทธิ์ต้านมะเร็ง
Astaxanthin มีส่วนช่วยในการป้องกันการเกิดมะเร็ง โดยส่วนใหญ่ได้ทำการในสัตว์ทดลอง ได้มีการรายงานผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ พบว่าแอสตาแซนธินอาจมีส่วนช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งในลำไส้ใหญ่ ระบบทางเดินอาหาร ระบบปัสสาวะ หรืออาจช่วยยับยั้งการเกิดเนื้องอกและกระตุ้นภูมิคุ้มกันในหนูได้
Astaxanthin มีส่วนช่วยในการป้องกันการเกิดมะเร็งผิวหนังจากรังสีอุลตราไวโอเลต เนื่องจากไปกระตุ้นการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นแบบลูกโซ่ของไขมันทำให้เกิดอนุมูลอิสระ
– ผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด
สารประกอบในกลุ่มแคโรทีนอยด์ ได้แก่ เบตาแคโรทีน แคนธาแซนธิน รวมทั้งแอสตาแซนธิน พบว่ามีส่วนช่วย ในการยับยั้งการเกิดออกซิเดชันของ LDL-cholesterol ซึ่งมีส่วนสำคัญในการช่วยลดโอกาสการเกิดการอุดตัน ในระบบหลอดเลือดหัวใจได้
เพิ่มการดูดซึม Astaxanthin ให้ได้ประโยชน์สูงสุด
Astaxanthin มีคุณสมบัติละลายในไขมันได้ดี จากการศึกษาพบว่า Astaxanthin ในสูตรตำรับ lipid based เช่น Vitamin E จะช่วยเพิ่มการดูดซึม 3.7 เท่าเมื่อเปรียบเทียบกับสูตรที่มีเฉพาะ Astaxanthin เพียงอย่างเดียว นอกจากนี้การรับประทานหลังอาหารที่มีไขมัน จะทำให้เพิ่มการดูดซึมแอสตาแซนธินได้ดีขึ้นเช่นกัน
อ้างอิง
- อ.ภญ.ฑิภาดา สามสีทอง. บทบาทและการออกฤทธิ์ของ astaxanthin ในทางคลินิก(2561). วงการยา. สืบค้นเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2566,จากเว็บไซต์: https://www.wongkarnpat.com/upfilecpe/CPE239.pdf
- ดร.วรรณวิมล คล้ายประดิษฐ์ และ ดร.มารุจ ลิมปะวัฒนะ. แอสตาแซนธิน: คุณค่าที่มากกว่าความเป็นสี(2552-2553). วารสารเทคโนโลยีการอาหาร มหาวิทยาลัยสยาม, 5(1), 7-10