Skip to content

ในช่วงนี้ผลิตภัณฑ์สกินแคร์เพื่อบำรุงผิวหน้าต่างออกสินค้าใหม่มามากมาย รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ดูแลเรื่องผิวและริ้วรอยเช่นกัน ในสารสำคัญของผลิตภัณฑ์เหล่านี้อาจทำให้ผู้บริโภคมึนงงและสับสนได้จากชื่อที่ใกล้เคียงกัน หนึ่งในนั้นจะต้องมีสารที่ชื่อว่า  Retinol (เรตินอล) และ Retinal (เรตินัล) แน่นอน

Retinol (เรตินอล) กับ Retinal (เรตินัล) หรือที่มีชื่อเต็มๆว่า Retinaldehyde ทั้งคู่ต่างเป็นสารในกลุ่ม retinoid (เรตินอยด์) ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอ  สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน  ลดริ้วรอย กระชับรูขุมขนให้เล็กลง สามารถปรับโครงสร้างชั้นผิวหนังลดการอุดตัน  ลดการเกิดสิวได้ โดยสารกลุ่มนี้จะทำงานได้ก็ต่อเมื่อเปลี่ยนมาอยู่ในรูป Retinoic acid นั่นเอง

กลไกการเปลี่ยนรูปของสารจะเป็นดังนี้คือ
Retinol >Retinal > Retinoic acid

Retinol (เรตินอล)

จัดอยู่ในประเภทเครื่องสำอาง เป็นอนุพันธ์วิตามินเอที่ต้องผ่านกระบวนการทางเคมี 2 ขั้นตอนก่อนจะเปลี่ยนเป็น Retinoic Acid มีประสิทธิภาพช่วยลดเลือนริ้วรอยและยกกระชับผิวให้เต่งตึงเมื่อใช้ต่อเนื่อง 3-6 เดือน  ความเข้มข้นที่เหมาะสมอยู่ที่ 0.01-1% อาการระคายเคืองเกิดขึ้นได้น้อย ขึ้นอยู่กับปริมาณความเข้มข้นของสารในผลิตภัณฑ์

Retinal (เรตินัล)

จัดอยู่ในประเภทเครื่องสำอางเช่นเดียวกันกับ Retinal เป็นอนุพันธ์วิตามินเอที่จะเปลี่ยนเป็น Retinoic Acid ก่อนจึงจะออกฤทธิ์ซึมเข้าสู่เซลล์ผิวหนัง ความเข้มข้นที่เหมาะสมอยู่ที่ 0.05-1% ช่วยให้ผิวเรียบเนียนและริ้วรอยร่องลึกลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้ Retinoic Acid ทาลงบนผิวโดยตรงพบว่า ให้ผลลัพธ์ที่ไม่แตกต่างกัน แต่ผลข้างเคียงน้อยกว่า Retinoic Acid

Retinoic acid

Retinoic acid หรือ Tretinoin ในรูปแบบยาทาใช้ภายนอกมีขนาดความเข้มข้น 0.025% และ 0.05% จัดอยุ่ในประเภทยาอันตราย เป็นอนุพันธ์วิตามินเอที่มีประสิทธิภาพสูงสุดเพราะเป็น active form ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้เลยทันที เพราะเป็นสารที่จับกับตัวรับบนเซลล์ผิวของเราและออกฤทธิ์ได้เลยทันทีโดยไม่ต้องเปลี่ยนรูป ช่วยรักษาสิว ช่วยฟื้นฟูผิวที่เสื่อมสภาพจากการถูกรังสียูวีทำร้าย ช่วยกระตุ้นให้เซลล์ผิวสังเคราะห์อีลาสติน คอลลาเจน ช่วยให้ผิวยกกระชับ เต่งตึง ชุ่มชื้น ไม่แห้งกร้านและเหี่ยวย่น  เมื่อใช้ต่อเนื่อง 6 เดือน ผิวจะแข็งแรงขึ้น ริ้วรอยลดลง แต่อย่างไรก็ตาม Retinoic acid นั้นจัดอยู่ในกลุ่มของยาอันตราย  ไม่สามารถนำมาใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวได้ เพราะ Retinoic acid มีผลข้างเคียงสูง อาจทำให้ผิวแห้งจนแสบ แดงและลอกได้ ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจึงใช้อนุพันธ์วิตามินเอชนิดอื่น ๆ แทน ที่นิยมจะเป็นในรูป Retinol และ Retinaldehyde เพราะให้ผลข้างเคียงต่ำ โดยจะใช้เป็นสารตั้งต้นให้เอนไซม์บนผิวของเราเปลี่ยนให้อยู่ในรูป active form ซึ่งก็คือ Retinoic Acid จึงจะสามารถซึมลงสู่ผิวได้ โดยลำดับการเปลี่ยนแปลงเริ่มจาก Retinol แล้วเปลี่ยนเป็น Retinaldehyde จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็น Retinoic Acid ในท้ายที่สุด

ข้อควรระวัง

  1. ห้ามใช้ในผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ เนื่องจากอนุพันธ์ของวิตามินเอสามารถส่งผลต่อการสร้างอวัยวะของทารกในครรภ์
  2. ผู้ที่มีผิวบอบบางควรหลีกเลี่ยงการใช้พร้อมกับยา Benzoyl Peroxide และผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ  AHA BHA และวิตามินซี
  3. เนื่องจากอนุพันธ์ของวิตามินเอ เมื่อใช้แล้วอาจจะทำให้ผิวระคายเคืองง่าย ไวต่อแดดได้ง่าย ดังนั้นแนะนำให้ใช้ก่อนนอน และใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหนัง ส่วนในตอนกลางวันควรใช้ครีมกันแดดร่วมด้วย
เอกสารอ้างอิง
  1. Zasada M, Budzisz E. Retinoids: active molecules influencing skin structure formation in cosmetic and dermatological treatments. Postepy Dermatol Alergol. 2019 Aug;36(4):392-397. doi: 10.5114/ada.2019.87443. Epub 2019 Aug 30. PMID: 31616211; PMCID: PMC6791161.
  2. Mukherjee S, Date A, Patravale V, Korting HC, Roeder A, Weindl G. Retinoids in the treatment of skin aging: an overview of clinical efficacy and safety. Clin Interv Aging. 2006;1(4):327-48. doi: 10.2147/ciia.2006.1.4.327. PMID: 18046911; PMCID: PMC2699641.