Skip to content

เบต้ากลูแคน…กุญแจสำคัญของการมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง

ในปัจจุบัน การมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยปกป้องร่างกายจากเชื้อโรคต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่โรคระบาดใหม่ๆกำลังเกิดขึ้น การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายจึงกลายเป็นสิ่งที่ทุกคนควรให้ความสำคัญ อาจเริ่มจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้ชีวิตให้ดี พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ รวมถึงรับประทานสารอาหารจากธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพในการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันเป็นสิ่งที่สามารถช่วยได้ หนึ่งในนั้นคือ “เบต้ากลูแคน (Betaglucan)” ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่พบในพืชและสิ่งมีชีวิตหลายชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยีสต์ ข้าวบาร์เลย์ และเห็ด มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อโรคต่างๆอีกทั้งยังมีบทบาทสำคัญในการช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันในการต่อสู้กับโรคมะเร็งด้วย

ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมีหน้าที่หลักในการป้องกันเชื้อโรค ไม่ว่าจะเป็นเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือ เชื้อรา รวมถึงเซลล์ที่กลายพันธุ์หรือผิดปกติ เช่น เซลล์มะเร็ง หากระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ร่างกายจะมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อและการเจ็บป่วยเรื้อรัง นอกจากนี้ ในช่วงที่มีการระบาดของโรคติดต่อหรือโรคใหม่ๆ เช่น โควิด-19 ความแข็งแรงของภูมิคุ้มกันยังมีความสำคัญในการลดความรุนแรงของอาการและเพิ่มโอกาสการฟื้นตัว

มาทำความรู้จักกับ…เบต้ากลูแคน(Betaglucan)

เบต้ากลูแคนเป็นโพลีแซ็กคาไรด์ชนิดหนึ่งที่มีโครงสร้างเฉพาะตัว พบมากในผนังเซลล์ของพืช เช่น ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโอ๊ต รวมถึงในเห็ดและยีสต์ สารชนิดนี้มีคุณสมบัติในการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน โดยมีผลต่อเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดมาโครฟาจ (macrophages) ที่มีหน้าที่ในการจับและทำลายเชื้อโรค การศึกษาในหลายงานวิจัยพบว่า เบต้ากลูแคนช่วยเพิ่มความสามารถของมาโครฟาจในการทำลายเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

นอกจากนี้ เบต้ากลูแคนยังช่วยกระตุ้นเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดอื่นๆ เช่น นิวโทรฟิล (neutrophils) และเซลล์ NK (Natural Killer Cells) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อและการแพร่กระจายของเชื้อโรคต่างๆ

โรคภูมิแพ้ยอดฮิตพิชิตได้ด้วยเบต้ากลูแคน

โรคภูมิแพ้เกิดจากระบบภูมิต้านทานของร่างกายที่ไวต่อสิ่งกระตุ้นมากเกินปกติ แสดงออกมาเป็นอาการ คัน จาม น้ำมูกไหล ผื่นผิวหนังต่างๆ ซึ่งโดยปกติแล้วเมื่อร่างกายอยู่ในภาวะสงบ ร่างกายจะถูกกระตุ้นให้อยู่ในสมดุลภูมิต้านทาน ที่เปรียบเสมือนสภาวะปกติที่มีทหาร ตำรวจ คอยตรวจตราดูแลความเรียบร้อยทั่วๆไป แต่เมื่อใดที่ร่างกายพบสิ่งแปลกปลอมที่ไม่สามารถกำจัดได้อย่างเด็ดขาด เช่น พยาธิ หรือ สารที่ร่างกายแพ้ (ไรฝุ่น ละอองเกสร สารเคมี) ร่างกายจะถูกปรับเข้าสู่สมดุลภูมิแพ้ ที่ต้องรีบส่งเหล่าเม็ดเลือดขาวเข้ามาจัดการอย่างรวดเร็ว แต่เป็นการจัดการแบบรีบๆลวกๆไม่สมบูรณ์ ซึ่งถ้าร่างกายต้องอยู่ในสมดุลภูมิแพ้นานๆก็อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อเซลล์ต่างๆได้ โดยการรับประทาน Beta 1,3/1,6 glucan ชนิดโมเลกุลสายสั้น จะทำให้เม็ดเลือดขาวมีการทำงานที่ฉลาดขึ้น สามารถปรับสมดุลภูมิแพ้ให้เข้าสู่สมดุลภูมิต้านทานปกติ ทำให้ผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้มีภูมิต้านทานต่อสิ่งเร้ามากขึ้น โดยพบว่าผู้ที่รับประทานเบต้ากลูแคนอย่างต่อเนื่องจะมีอาการทางภูมิแพ้ลดลง

เบต้ากลูแคนกับโรคมะเร็ง

เบต้ากลูแคน ยังมีประโยชน์อย่างมากในการป้องกันและรักษาโรคที่น่ากลัวอย่าง “โรคมะเร็ง” โดยเบต้ากลูแคน จะทำให้เม็ดเลือดขาว เห็นเซลล์มะเร็งได้ง่ายขึ้น ซึ่งโดยปกติแล้ว เม็ดเลือดขาวจะเข้าใจว่าเซลล์มะเร็งกับเซลล์ปกติในร่างกาย คือ พวกเดียวกัน เนื่องจากว่า เซลล์มะเร็งถูกพัฒนามาจากเซลล์ปกติในร่างกาย ที่ถูกปัจจัยบางอย่างทำให้การแบ่งตัวผิดเพี้ยนไป ดังนั้นเซลล์มะเร็งจึงมีดีเอ็นเอที่เหมือนกับเซลล์ปกติทั่วไป นอกจากเซลล์มะเร็งนั้นจะผิดปกติมาก จนเซลล์ภูมิต้านทานทั้งหลายเริ่มสังเกตเห็นว่าเป็นสิ่งแปลกปลอม จึงจะเข้ามาจัดการทำลาย ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะไม่ทันการ เซลล์มะเร็งก็ได้รุกลามไปทั่วร่างกายแล้ว                      

เบต้ากลูแคนจะไปจับกับตัวรับที่อยู่บนผิวของแมคโครเฟจชื่อ Dectin-1 ส่วนตัวรับที่อยู่บนผิวของ NK Cell ชื่อ CR-3 (Complement receptor 3) ผลก็คือเซลล์แมคโครเฟจที่ปกติจะอยู่อย่างสงบจะตื่นตัวว่องไวมากขึ้น มีเป้าหมายที่จะออกค้นหาเพื่อกินเซลล์มะเร็ง (ซึ่งเมื่อก่อนไม่สนใจเลย) เรียกกระบวนการนี้ว่า Seek and Destroy เมื่อแมคโครเฟจกินและย่อยเซลล์มะเร็งจนเป็นชิ้นเล็กๆ มันจะเอาไปแสดงเป็นสัญลักษณ์บนตัวของมัน เพื่อส่งสัญญาณให้เม็ดเลือดขาวชนิดอื่นๆเช่น  T cell และ B cell ทราบ และผลิตแอนติบอดี้ ให้ไปเกาะที่ผิวของเซลล์มะเร็งที่เหลือ ทำให้เซลล์ภูมิต้านทานต่างๆเห็นเซลล์มะเร็งและกรูเข้ามาจัดการได้   

ดังนั้นจึงไม่แปลกใจว่าทำไม เบต้ากลูแคน จึงเป็นที่ยอมรับในด้านการเพิ่มภูมิต้านทานกันอย่างกว้างขวาง ด้วยความสามารถดังที่กล่าวมาในข้างต้น เบต้ากลูแคนจึงเป็นหนึ่งในอาหารที่เราควรจะบริโภคเพิ่มเสริมสร้างร่างกายให้เเข็งแรงและมีภูมิคุ้มกันสูงสุด   

ความแตกต่างของ Betaglucan แต่ละชนิด

เบต้ากลูแคน (Betaglucan) มีหลากหลายโครงสร้างแตกต่างกันจากแหล่งที่มา เช่น เห็ด ยีสต์ แบคทีเรีย สาหร่าย ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์ เป็นต้น โดยโครงสร้างที่ได้คะแนนสูงสุดในด้านการเพิ่มภูมิต้านทาน คือ เบต้า 1,3/1,6 กลูแคน (Beta 1,3/1,6 glucan) ที่สกัดได้มาจากเห็ด และผนังเซลล์ของยีสต์ แม้ว่า เบต้ากลูแคน ที่ได้มาจาก เห็ด และ ยีสต์ จะมีโครงสร้างเป็น เบต้า 1,3/1,6 กลูแคน เหมือนกัน แต่มีข้อแตกต่างกันตรงที่ เบต้ากลูแคน ที่ได้จากเห็ด จะเป็นโครงสร้างสายสั้น ทำให้มีการละลายน้ำได้ดี ในขณะที่ เบต้ากลูแคน ที่ได้จากยีสต์ จะเป็นโครงสร้างสายยาว ซึ่งอาจจะพบส่วนของกลูแตนติดมาที่ปลายสายของโครงสร้างได้ จึงไม่เหมาะกับคนที่เป็นโรคภูมิแพ้

ตารางสรุปความแตกต่างของเบต้ากลูแคนจากแต่ละแหล่งที่มา

แหล่งที่มาMushroom Yeast Oat
โครงสร้างBeta 1,3/1,6 glucan
(สายสั้น)
Beta 1,3/1,6 glucan
(สายยาว)
Beta 1,3/1,4 glucan
การละลายน้ำละลายน้ำไม่ละลายน้ำละลายน้ำ
Gluten freex✓ บางส่วน โดยขึ้นอยู่กับโรงงานผู้ผลิตด้วย
สรรพคุณเด่นเพิ่มภูมิต้านทานเพิ่มภูมิต้านทานลดไขมันในโลหิต แต่ประสิทธิภาพในการเพิ่มภูมิต้านทานจะไม่สูงเท่า Beta 1,3/1,6 glucan
สมาคมโภชนาการอเมริกาแนะนำโรคเหล่านี้…ควรใช้เบต้ากลูแคนร่วมด้วย!

ได้แก่ โรคเอดส์  โรคภูมิแพ้  นักกีฬาที่ฝึกซ้อมอย่างหนัก  โรคติดเชื้อแบคทีเรีย  โรคหลอมลมอักเสบ  โรคมะเร็ง  โรคเชื้อราในช่องคลอด  อาการอ่อนเพลียเรื้อรัง  โรคหวัด  โรคเบาหวาน  โรคถุงลมโป่งพอง  โรคไวรัวแอบสไตน์บาร์  โรคเชื้อรา  โรคเริม  โรคงูสวัด  อาการพิษจากปรอท/อมัลกัมอุดฟัน  โรคชรา  โรคติดเชื้อปรสิต  โรคเหงือกอักเสบรอบโคนฟัน  โรคปอดบวม  โรคขาดอาหาร  โรคจากแสงรังสี  โรคเครียด  แผลผ่าตัด  โรคติดเชื้อไวรัส  เป็นต้น

ความปลอดภัย (Safety)

US-FDA จัดชั้นความปลอดภัยของเบต้ากลูเคนไว้ในระดับ GRAS(Generally Recognised As Safe) ซึ่งหมายถึง สารที่ผ่านการรับรองสามารถใช้เติมลงไปในอาหารได้อย่างปลอดภัย

อีกทั้งสามารถนำเบต้ากลูแคนมาใช้ในโรค Auto immune หรือ โรคภูมิต้านทานทำลายตัวเอง โดยไม่ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันทำงานเกินพอดี

อาการข้างเคียง (Side Effect)

ยังไม่พบอาการข้างเคียงจากการรับประทานเบต้ากลูแคน แต่บางรายอาจเกิดการแพ้โปรตีนในยีสต์ที่ชื่อ แมนแนน(Mannan) แต่เป็นการแพ้ที่อาการไม่รุนแรง อาจมีอาการคันหรือท้องเสียเล็กน้อย แต่ถ้าผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงจะสกัด Mannoprotein ออกได้หมด ทำให้ปราศจากอาการข้างเคียงได้

ขนาดการรับประทาน (Dosage)

ขนาดที่ใช้ป้องกันหรือบำรุงร่างกาย

  • รับประทานวันละ 200 มก. ครั้งเดียว หรือ 100 มก. วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น หรือ 2 มก./นน.ตัว 1 กก. โดยให้รับประทานก่อนอาหารครึ่งชั่วโมง(ตอนท้องว่าง)

ขนาดที่ใช้ในการรักษา

  • ความรุนแรงปกติ : 200 มก. วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น
  • ความรุนแรงปานกลาง : 200 มก. วันละ 3 ครั้ง เช้า-กลางวัน-เย็น
  • ความรุนแรงมาก : 400-800 มก. ต่อครั้ง 

จากวารสารทางวิชาการของประเทศอเมริกากล่าวว่า สามารถรับประทานเบต้ากลูแคนได้ถึง 12,000 มก. ต่อวัน โดยถ้าเป็นเบต้ากลูแคนจากยีสต์จะมีประสิทธิภาพสูงกว่าแหล่งอื่นเมื่อเทียบน้ำหนักที่เท่ากัน

เอกสารอ้างอิง

  1. หนังสือเบต้ากลูแคนดีที่สุดในโลก ที่มนุษย์เคยพบ ของ ศ.ดร.นพ.สมศักดิ์ วรคามิน
  2. Brown, G. D., Gordon, S. (2005). Fungal β-Glucans and Mammalian Immunity. Immunity, 19(3), 311-315.
  3. Vetvicka, V., Vetvickova, J. (2014). β-Glucan in Cancer Treatment. Anticancer Research, 34(2), 722-728.
  4. Chan, G. C., Chan, W. K., Sze, D. M. (2009). The effects of beta-glucan on human immune and cancer cells. Journal of Hematology & Oncology, 2(25), 1-11.
  5. Bohn, J. A., BeMiller, J. N. (1995). (1→3)-β-D-glucans as biological response modifiers: A review of structure-functional activity relationships. Carbohydrate Polymers, 28(1), 3-14.
  6. Gantner, B. N., Simmons, R. M., Canavera, S. J., Akira, S., Underhill, D. M. (2003). Collaborative induction of inflammatory responses by dectin-1 and Toll-like receptor 2. The Journal of Experimental Medicine, 197(9), 1107-1117