วิตามิน K เป็นวิตามินที่มีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพของร่างกาย โดยวิตามิน K แบ่งออกเป็น 2 ชนิดหลัก ได้แก่ วิตามิน K1 (Phylloquinone) และ วิตามิน K2 (Menaquinone) ซึ่งมีหน้าที่และแหล่งที่มาจากอาหารที่แตกต่างกัน ดังนี้
- วิตามิน K1 (Phylloquinone): พบมากในผักใบเขียว เช่น คะน้า ผักโขม และบร็อคโคลี่ มีบทบาทหลักในการช่วยกระบวนการแข็งตัวของเลือด ซึ่งจำเป็นเมื่อร่างกายเกิดบาดแผลและต้องการหยุดเลือด
- วิตามิน K2 (Menaquinone): พบมากในอาหารหมักดอง เช่น นัตโตะ ชีส และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ วิตามิน K2 มีบทบาทสำคัญในการลำเลียงแคลเซียมไปยังกระดูกและฟัน ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก และป้องกันการสะสมของแคลเซียมในหลอดเลือด
วิตามิน K2 มีหลายชนิดเลือกให้ดี
วิตามิน K2 เป็นรูปแบบหนึ่งของวิตามิน K ที่มีบทบาทสำคัญในการลำเลียงแคลเซียมไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น กระดูกและฟัน และยังช่วยป้องกันการสะสมของแคลเซียมในหลอดเลือด ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ วิตามิน K2 มีหลายชนิดย่อย (menaquinones) โดยชนิดที่สำคัญ ได้แก่ MK-4 และ MK-7 แต่ละชนิดมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ดังนี้:
- MK-4 (Menaquinone-4) ถูกดูดซึมได้อย่างรวดเร็ว แต่มีระยะเวลาการอยู่ในร่างกายค่อนข้างสั้น
- MK-7 (Menaquinone-7) มีระยะเวลาการอยู่ในร่างกายนานกว่าชนิด MK-4 ทำให้สามารถใช้ประโยชน์ได้ต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพสูงกว่าในการดูแลสุขภาพกระดูก
ประโยชน์ของวิตามิน K2 ต่อร่างกาย
วิตามิน K2 มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นโปรตีนชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า osteocalcin ซึ่งมีหน้าที่จับแคลเซียมและนำแคลเซียมไปสะสมในกระดูกและฟันให้แข็งแรง นอกจากนี้ K2 ยังมีความสำคัญในการป้องกันการสะสมของแคลเซียมในหลอดเลือด ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด นั่นหมายความว่า วิตามิน K2 ไม่เพียงแค่ช่วยเสริมสร้างกระดูก แต่ยังมีประโยชน์ในการรักษาสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดอีกด้วย
… รับประทานแค่วิตามิน D อย่างเดียวก็เพียงพอแล้วจริงหรือ? …
วิตามิน K2 กับวิตามิน D
วิตามิน D มีบทบาทสำคัญในการช่วยดูดซึมแคลเซียมจากทางเดินอาหารเข้าสู่กระแสเลือด แต่การที่แคลเซียมจะไปสู่กระดูกอย่างเต็มที่นั้น ร่างกายต้องการวิตามิน K2 มาช่วยลำเลียงแคลเซียมจากเลือดไปยังกระดูก การรับประทานวิตามิน K2 และวิตามิน D ควบคู่กัน จึงเป็นการทำงานร่วมกันที่มีประสิทธิภาพ ช่วยเสริมสร้างและบำรุงกระดูกให้แข็งแรง และลดความเสี่ยงของการสะสมแคลเซียมในหลอดเลือด
การขาดวิตามิน K2 กับผลกระทบต่อกระดูก
หากร่างกายขาดวิตามิน K2 จะทำให้กระบวนการลำเลียงแคลเซียมไม่สมบูรณ์ ส่งผลให้แคลเซียมไม่สามารถไปสะสมในกระดูกได้ตามที่ควร ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียมวลกระดูก ทำให้กระดูกเปราะบางและเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน นอกจากนี้ การขาดวิตามิน K2 ยังอาจทำให้แคลเซียมสะสมในหลอดเลือดและเนื้อเยื่ออ่อน ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดในระยะยาว
ปริมาณที่แนะนำในการรับประทานวิตามิน K2
การรับประทานวิตามิน K2 ในปริมาณที่เหมาะสมถือเป็นสิ่งสำคัญ โดยปริมาณขั้นต่ำที่แนะนำสำหรับผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงหรือมีปัญหาเกี่ยวกับกระดูก คือ 100 ไมโครกรัมต่อวัน
ข้อควรระวังในการรับประทานวิตามิน K2
ผู้ที่รับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด (anticoagulants) ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานวิตามิน K2
เอกสารอ้างอิง
1. Ahmadieh H, Arabi A. Vitamins and bone health: beyond calcium and vitamin D. Nutr Rev. 2011 Oct;69(10):584-98. doi: 10.1111/j.1753-4887.2011.00372.x. PMID: 21967159.
2. Iwamoto J, Takeda T, Sato Y. Effects of vitamin K2 on osteoporosis. Curr Pharm Des. 2004;10(21):2557–76. doi:10.2174/1381612043383782.
3. Yamaguchi M. Role of nutritional factor menaquinone-7 in bone homeostasis and osteoporosis prevention. Nutrients. 2014;6(3):101-10. doi:10.15761/IMM.1000101.